10 อันดับ เซรั่มวิตามินซี ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ปรับสีผิว ลดริ้วรอย

ระดับความเข้มข้นของวิตามินซีจะมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้งาน ซึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาใบหน้าหมองคล้ำ ผิวไม่สม่ำเสมอ มีปัญหาฝ้ากระและจุดด่างดำ ขอแนะนำให้เลือกวิตามินซีที่มีระดับความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 8 - 20% หากความเข้มข้นต่ำกว่านี้จะได้ประสิทธิภาพไม่เต็มที่ แต่ควรมีความเข้มข้นสูงสุดไม่เกิน 20% โดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับปัญหาผิวและความแข็งแรงของผิวตนเองด้วยว่าสามารถรับความเข้มข้นได้มากน้อยขนาดไหน เพราะความเข้มข้นที่สูงก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้มากกว่าเช่นกัน แต่หากพบว่าผิวมีอาการระคายเคืองเกิดขึ้น ควรปรับให้มีความเข้มข้นน้อยลงและให้หาผลิตภัณฑ์กลุ่มไวท์เทนนิ่งตัวอื่น ๆ เช่น เรตินอล (Retinol) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มาใช้ร่วมกันแทนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ระดับการดูดซึมและคงตัวของวิตามินซีจะมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการใช้งาน ซึ่งโดยทั่วไปวิตามินซีนั้นเป็นสารที่คงตัวอยู่ยาก เสื่อมสลายได้ง่ายเมื่อโดนแสงแดดและดูดซึมได้ไม่ดีหากอยู่กับส่วนประกอบเป็นน้ำมัน เช่น ผิวและรูขุมขน เป็นต้น ส่งผลทำให้การทาวิตามินซีจะเป็นการทาไว้แค่บนผิวเท่านั้น และหากไม่คงตัวด้วย เมื่อเจอแสงแดดอาจทำให้เกิดเป็นคราบสีเหลืองออกน้ำตาลบนผิว จึงไม่มีประสิทธิภาพในการช่วยซ่อมแซมหรือปกป้องผิวเท่าที่ควร

ดังนั้น เซรั่มวิตามินซีที่ดีควรมีคุณสมบัติในการคงตัวแม้จะโดนแสงแดดและสามารถจับกับน้ำมันผิวเพื่อเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่ชั้นผิวและรูขุมขนได้ เพื่อทำหน้าที่ช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ของผิว จึงขอแนะนำให้เลือกเซรั่มวิตามินซีที่อยู่ในรูปแบบของ L-Ascorbic Acid ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ของวิตามินซีสังเคราะห์ ละลายได้ดีในน้ำ มีคุณสมบัติในการคงตัวและสามารถทำงานได้ทันทีเมื่อสัมผัสกับผิว

โดยปกติแล้วเซรั่มวิตามินซีในรูปแบบของ L-Ascorbic Acid ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 8% ขึ้นไปจะสามารถไปช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สำคัญในการสร้างเม็ดสีเมลานินได้อยู่แล้ว และยังสามารถปกป้องผิวจากการทำร้ายโดยแสงแดดได้โดยตรง ดังนั้น วิตามินซีจึงทำหน้าที่เป็นสารช่วยลดเลือนจุดด่างดำและช่วยทำให้ผิวดูสว่างขึ้นได้ดี 

อย่างไรก็ตาม การใช้เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนผสมอื่น ๆ ร่วมด้วยก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้ากระได้ เช่น เรตินอล (Retinol) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่เป็นวิตามิน B3 โดยจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกและช่วยให้ผิวใหม่ขึ้นไปชั้นผิวด้านบนทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานร่วมกับ สารสกัดชะเอมเทศ (Licorice Extract) หรืออาร์บูติน (Arbutin) ก็จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีจากภายในทำให้ผิวดูสว่างใสขึ้น

ปัญหาริ้วรอยส่วนใหญ่เกิดจากการที่คอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวลดลง จึงทำให้ผิวเกิดการหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยขึ้นได้ง่าย จึงเซรั่มวิตามินซีจะมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัยและเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิวอยู่แล้ว แต่ผู้ใช้งานสามารถเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของวิตามิน E และเรสเวอราทรอลเพิ่มเติมได้เพราะจะช่วยเสริมการต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวให้มีความยืดหยุ่น จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยได้

นอกจากนี้ ยังมีส่วนผสมของกรดอะมิโน (Amino Acid) และเปปไทด์ (Peptide) ที่เป็นส่วนประกอบในการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน จึงช่วยซ่อมแซมโครงสร้างของผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย หากพบยี่ห้อที่มีส่วนผสมเหล่านี้ก็สามารถเลือกใช้งานได้เช่นกัน

สำหรับคนที่มีปัญหาสิวขอแนะนำให้เลือกเซรั่มวิตามินซีที่มีสารช่วยปลอบประโลมผิวเพิ่มเติม เช่น ส่วนผสมของสารสกัดว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica) อัลลานโทอิน (Allantoin) เพื่อช่วยลดการเกิดการอักเสบหรือการระคายเคืองต่าง ๆ นอกจากนี้ การเลือกเซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่เป็นวิตามิน B3 ก็จะช่วยลดรอยดำต่าง ๆ ที่เกิดจากสิวได้ด้วย

การใช้เซรั่มวิตามินซีในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาสิวจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะด้วยตัววิตามินซีในรูปแบบ L-Ascorbic Acid จะมีความเป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้น การเลือกระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ จึงขอแนะนำให้เริ่มจากความเข้มข้นน้อย ๆ ก่อนประมาณ 8 - 10% แล้วคอยสังเกตว่าสามารถทนได้ไหม หากเกิดอาการแสบหรือระคายเคืองอาจจะต้องลดระดับความเข้มข้นลงมา หรืออาจจะทดลองทาบริเวณท้องแขนเพื่อทดสอบการระคายเคืองก่อนใช้งานได้