10 อันดับ หูฟัง In-Ear แนะนํา ปี 2023 แบบอินเอียร์ ใส่สบาย

สำหรับใครที่ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ และกำลังมองหาหูฟัง In-Ear ตัวจบ บอกได้เลยว่ารุ่นนี้สร้างความประทับใจให้คุณได้แน่นอนครับ เพราะเป็นหูฟัง In-Ear ระดับพรีเมียม Made in Germany ที่ผลิตด้วยความประณีตทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่วัสดุ Housing ของหูฟัง ที่เป็นอะลูมิเนียมชิ้นเดียวแข็งแรงทนทาน มีความเงางาม ผลิตด้วยกระบวนการขึ้นรูป CNC ระดับอุตสาหกรรม ไร้รอยต่อ พร้อมวิธีการสวมใส่แบบ IEM แน่นหนาไม่หลุดออกจากหูง่ายครับ

มาพร้อมกับไดรเวอร์เทคโนโลยี X3R TrueResponse transducer แบบเดี่ยว ขนาด 7mm ซึ่งออกแบบการจัดวางไดรเวอร์ด้วยการแบ่งสัดส่วนภายในตัวหูฟังออกเป็น 3 ห้อง (Chambers) เพื่อจัดการกับย่านเสียงต่าง ๆ ให้มีความสมดุลและเก็บรายละเอียดเสียงได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะย่านเสียงเบสที่มีมวลคมชัดหนานุ่มแบบผู้ดี พร้อมรองรับย่านความถี่ตั้งแต่ 5Hz - 48kHz หรือระดับ Hi-Res นั่นเองครับ

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหูฟัง In-Ear สุดคุ้มค่า ซึ่งรุ่นนี้เป็นหูฟังเรือธงจากแบรนด์ AudioSense ที่มาพร้อมกับไดรเวอร์ Knowles BA ข้างละถึง 8 ตัว ซึ่งมีทั้งไดรเวอร์ตัวหลักของแบรนด์ผู้ผลิตและตัวที่ Customized มาเป็นพิเศษเพื่อหูฟังรุ่นนี้โดยเฉพาะ ด้วยจำนวนไดรเวอร์ที่มากถึงขนาดนี้ ประกอบกับท่อนำเสียงแบบ 3 ทาง ทำให้หูฟังรุ่นนี้สามารถให้รายละเอียดเสียงที่ชัดเจนทุกย่าน มีความสมดุล สเตจเสียงกว้าง เบสไม่หนักจนกลบย่านเสียงอื่น ๆ 

ในส่วนของกระบวนการผลิตก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ Housing ของหูฟังที่ใช้เทคโนโลยี 3D Printing ในการขึ้นโครงเรซินแบบเต็มชิ้นไร้รอยตัดต่อ ช่วยให้ใส่กระชับหูและป้องกันเสียงเล็ดลอดออกภายนอกได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังตกแต่งด้วยลวดลาย Carbon Fiber สไตล์สปอร์ตสุดสวยงาม นอกจากนี้ สายของหูฟังยังสามารถถอดเพื่ออัปเกรดเป็นสายอื่น ๆ ที่สเปกสูงกว่าได้ครับ 

หากอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่คุณใช้ในชีวิตประจำวันเป็นของแบรนด์ Apple เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ AirPods Pro รุ่นนี้เลยครับ โดยเป็น Gen. ใหม่ที่มาพร้อมกับชิปประมวลผลคุณภาพสูงอย่าง Apple Silicon H2 ที่ช่วยปรับแต่งคุณภาพเสียงให้ได้รายละเอียดที่สูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งลักษณะเสียงหรือ EQ ที่คุณต้องการฟังได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับประสิทธิภาพกันน้ำระดับ IPX4 สามารถใส่ออกกำลังกายได้สบาย ๆ ครับ

นอกจากชิป H2 จะช่วยในเรื่องของคุณภาพเสียงแล้ว ยังทำงานร่วมกับไมโครโฟนคู่แบบ Beamforming ในการตัดเสียงรบกวนแบบ ANC ได้อย่างเงียบสนิท รวมไปถึงรุ่นนี้ยังมีฟีเจอร์เด่นอย่างระบบเสียงตามตำแหน่งและติดตามศีรษะแบบไดนามิก ช่วยมอบประสบการณ์ฟังเพลงหรือคอนเทนต์เสียงต่าง ๆ ของคุณมีความน่าสนใจและสนุกขึ้น นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับเคสชาร์จ MacSafe ที่รองรับการชาร์จไร้สาย Qi ครับ

เมื่อนึกถึงหูฟัง In-Ear แล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่นึกถึงแบรนด์ขวัญใจคนไทยอย่าง KZ ที่มีจุดเด่นอย่างดีไซน์ของหูฟังแบบ IEM (In-Ear Monitor) พร้อมกับราคาที่แสนจะย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย แถมในหลาย ๆ รุ่นสามารถอัปเกรดสายหูฟังเพื่อเสริมคุณภาพเสียงให้ดียิ่งขึ้น และสำหรับรุ่น ASX นี้ ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์แบบ IEM พร้อมด้วย Housing วัสดุโลหะ แต่งเติมด้วยลวดลายแบบ Geometric สุดโดดเด่น และมีให้เลือก 2 สีด้วยกันคือ เงินตัดฟ้าและดำตัดทองครับ

เรื่องของคุณภาพเสียงบอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะหูฟังรุ่นนี้มาพร้อมกับไดรเวอร์ BA ข้างละถึง 10 ตัว ครบทุกย่าน โดยประกอบด้วย BA30017s 4 ตัว สำหรับย่านเสียงสูง และ BA31736s 4 ตัว สำหรับย่านกลางสูง ส่วนย่านกลางใช้ BA29689s และย่านต่ำจะเป็น BA22955s จัดเต็มครบทุกย่านเสียง สเตจเสียงกว้าง พร้อมการออกแบบให้ตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ดี อีกทั้งยังมีไมโครโฟนให้ใช้งานอีกด้วยครับ

นี่คือหูฟัง In-Ear แบบ True Wireless ที่สร้างชื่อเสียงและเครดิตให้กับแบรนด์หูฟังอินดี้อย่าง EDIFIER โดยจุดเด่นของ NeoBuds Pro ก็คือ เป็นหูฟัง In-Ear True Wireless ตัวแรกของโลกที่มาพร้อมกับระบบ Hi-Res True Wireless ให้คุณสามารถฟังเพลงด้วยรายละเอียดที่ครบถ้วนและเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถปรับแต่ง EQ ได้ตามใจผ่านแอปพลิเคชัน Edifier Connect ที่มีให้ดาวน์โหลดทั้งบน iOS และ Android ครับ 

จุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของรุ่นนี้ก็คือระบบ ANC ประสิทธิภาพสูง ที่สามารถตัุดเสียงรบกวนได้ถึงระดับ 42dB ด้วยไมโครโฟนบนหูฟังข้างละ 3 ตัว หรือถ้ารวมทั้งสองข้างก็คือ 6 ตัวนั่นเอง และแน่นอนว่าด้วยไมโครโฟนที่เยอะขนาดนี้ จึงช่วยให้คุณคุยสายโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลได้อย่างชัดเจน ในส่วนของคุณภาพเสียงก็ได้ไดรเวอร์คู่ที่ผสมระหว่าง Knowles BA และไดนามิกไดรเวอร์ เด่นชัดทั้งย่านเบสและแหลมครับ

หากจะยกให้หูฟัง In-Ear แบบ True Wireless รุ่นนี้ เป็นรุ่นที่คุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุดอีกหนึ่งรุ่นก็ไม่เกินจริงเท่าไรนัก เพราะมาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นมากมาย โดยเฉพาะคุณภาพเสียง ที่ใช้ไดรเวอร์คู่ระหว่าง Knowles BA และไดรเวอร์ไดนามิกขนาด 8.6mm ของทางแบรนด์เอง เสริมด้วยการปรับแต่งเสียงเบสให้โดดเด่นช่วยให้รุ่นนี้มีเสียงเบสที่แน่น กระหึ่มจัดเต็มมาเป็นลูก สเตจเสียงค่อนข้างกว้าง ในส่วนย่านเสียงอื่น ๆ อาจจะดรอปลงมา แต่ก็ไม่โดนเสียงเบสกลบจนหมด

นอกจากนี้ รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับชิปส่งสัญญาณ QCC3040 จาก Qualcomm® ที่รองรับเทคโนโลยีถอดรหัสเสียงอย่าง aptX Adaptive และผสานการทำงานร่วมกับ Bluetooth 5.2 ทำให้การส่งสัญญาณไร้สายมีความเสถียรและรวดเร็ว รวมไปถึงดีเลย์ต่ำมาก แถมยังมี Game Mode สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ อีกทั้งยังกันน้ำได้ที่ระดับ IPX5 ช่วยให้ใส่ออกกำลังกายได้ครับ 

แม้จะเป็นหูฟัง In-Ear แบบ True Wireless ที่วางขายมาได้สักพักแล้ว แต่ด้วยหมัดเด็ดอย่างเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนประสิทธิภาพสูง ทำให้หูฟัง In-Ear ของ SONY รุ่นนี้ ยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันและหาคู่เปรียบเทียบได้ยาก ก่อนอื่นขอพูดถึงคุณภาพเสียง ซึ่งรุ่นนี้มาพร้อมกับไดรเวอร์ขนาด 6mm ออกแบบมาเป็นพิเศษ ปรับแต่งลักษณะเสียงที่ต้องการผ่านแอปฯได้ ที่สำคัญคือรองรับเสียงคุณภาพสูง Hi-Res ด้วย Codec LDAC 

สำหรับระบบตัดเสียงรบกวน ANC นั้น ทำงานร่วมกับชิปประมวลผล Integrated Processor V1 ผสานไมโครโฟนเซนเซอร์เสียงคู่ รวมทั้งหมด 4 ตัว ทั้งสองข้างของหูฟัง ใช้ในการดักจับและตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจุกหูฟังโฟมโพลียูรีเทนที่ออกแบบเป็นพิเศษ ช่วยเสริมปิดกั้นเสียงจากภายนอก ให้คุณเต็มอิ่มกับคอนเทนต์เสียงจากหูฟังได้เต็มที่ครับ

นี่คือหูฟัง In-Ear แบบมีสายรุ่นยอดฮิตสำหรับเกมเมอร์ โดยมาพร้อมกับดีไซน์และสีสันที่ดูโดดเด่น ที่เมื่อใช้งานก็ทำให้คนรอบข้างรู้ได้ทันทีเลยว่าคุณเป็นเกมเมอร์ตัวจริง ซึ่งนอกจากดีไซน์แล้ว เรื่องคุณภาพเสียงก็ไม่ธรรมดา ด้วยไดรเวอร์ไดนามิกคู่เกรดเกมมิ่ง ปรับแต่งให้เน้นย่านเสียงกลางและต่ำ เพื่อใช้เก็บรายละเอียดเสียงแวดล้อมรอบข้าง ไม่ว่าจะจากศัตรูหรือมอนสเตอร์ ซึ่่งจำเป็นอย่างมากในการใช้ระบุตำแหน่ง โดยเฉพาะสำหรับเกมแนวเดินยิง ไม่ว่าจะเป็น FPS หรือ TPS

ออกแบบมาให้ใช้งานได้กับหลากหลายอุปกรณ์ ทั้ง PC, PS5, Xbox, Nintendo Switch รวมไปถึงสมาร์ตโฟน เพราะภายในกล่องแถมหัวแปลง 3.5mm to USB-C มาให้ใช้งานเรียบร้อย ไม่ต้องซื้อเพิ่ม อีกทั้งยังมีจุกหูฟังให้เปลี่ยน 3 คู่ 3 ขนาด เพื่อรองรับสรีระที่หลากหลาย และแน่นอนว่ารุ่นนี้มาพร้อมกับไมโครโฟนในตัว เพื่อให้คุณใช้สื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างชัดเจนครับ

แม้จะเป็นหูฟัง In-Ear ที่มีราคาเพียงหลักร้อย แต่ด้วยชื่อชั้นของแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง JBL จึงทำให้ผู้คนเชื่อใจและเลือกซื้อหูฟังรุ่นนี้มาใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยรุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยไดรเวอร์ที่มีขนาดใหญ่ถึง 9mm และได้รับการปรับแต่งเสียงแบบ JBL Pure Bass อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เสียงเบสเด่นชัด ขับออกมาเป็นลูกได้อย่างละมุน แต่ไม่กลบเสียงย่านอื่น ๆ ลักษณะเสียงกลมกลืนฟังสนุก เหมาะกับทุกแนวเพลง ไม่ว่าจะเป็น EDM, Pop และ Rock ครับ

ที่สำคัญคือหูฟังรุ่นนี้มาพร้อมกับสายหูฟังแบบแบน ซึ่งมีข้อดีคือป้องกันปัญหาสายหูฟังพันกันได้ ช่วยให้คุณพกพาติดตัวได้สะดวกขึ้น สามารถหยิบขึ้นมาใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมาเทียวแกะแบบสายกลม อีกทั้งยังมีไมโครโฟนพร้อมปุ่มควบคุมเปิด-ปิดเพลง ไม่ต้องคอยยกโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ขึ้นมาบ่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกด้วยกัน 3 สีสัน คือ สีขาว สีดำ และสีน้ำเงินครับ

แม้ในท้องตลาดจะมีหูฟัง In-Ear ราคาประมาณ 100 - 200 บาท วางขายอยู่หลายแบรนด์ แต่กล้าพูดเลยว่าหูฟัง In-Ear จาก Xiaomi รุ่นนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะด้วยดีไซน์ที่มีควาบโฉบเฉี่ยวกะทัดรัด อีกทั้งยังมีความเงางามด้วยการใช้วัสดุอะลูมิเนียมคุณภาพดีและมีความแข็งแรงทนทาน ในการใช้ผลิต Housing ของหูฟัง เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ที่เป็นพลาสติกแล้ว ทำให้มีความน่าใช้กว่ามาก แถมยังมีให้เลือก 2 สีสันคือดำและขาวครับ 

ในส่วนของไดรเวอร์ประกอบด้วยไดอะแฟรมวัสดุโลหะเกรดอากาศยาน ผสานกับชั้นพลาสติก PET ที่ปรับแต่งเสียงแหลมให้ลดลงมาและเน้นความสมดุลของย่านเสียงโดยรวม จึงเป็นหูฟังที่สามารถใช้ฟังเพลงหรือวิดีโอได้ทุกรูปแบบ อีกทั้งยังมาพร้อมไมโครโฟน Handsfree และปุ่มควบคุมหยุด/เล่นเพลง ให้คุณได้ใช้งานหูฟังได้สะดวกขึ้นครับ