10 เครื่องฟอกอากาศในรถ ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 กรองฝุ่น ลดกลิ่น

เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์แบ่งประเภทใหญ่ ๆ ได้เป็น 2 ประเภท คือ

・แบบที่ใช้แผ่นกรองอากาศ ที่นิยมมากคือ HEPA Filter ซึ่งเป็นแผ่นกรองอากาศที่ผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส สามารถดักจับฝุ่นละอองที่มีอนุภาคขนาด 0.30 ไมครอน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส สารก่อให้เกิดภูมิแพ้ และฝุ่นละออง มีประสิทธิภาพในการกรองอากาศสูงถึง 99.97% เหมาะอย่างยิ่งในการใช้กรองอนุภาคเล็ก ๆ อย่าง PM 2.5

・แบบปล่อยประจุไฟฟ้า ใช้วิธีการปล่อยประจุไฟฟ้าหรืออนุภาคไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น ไอออนลบ มีอิเล็กตรอนสูง ใช้ในการดักจับสิ่งแปลกปลอมที่ลอยปะปนมาภายในอากาศ ภายในจะมีชิ้นส่วนสำหรับผลิตประจุโดยเฉพาะ ซึ่งจะปล่อยประจุลบขึ้นไปบนอากาศเพื่อดักจับและกำจัดอนุภาคที่เป็นประจุบวก เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย มีคุณสมบัติในกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นควัน หรือกลิ่นสัตว์เลี้ยง แต่ไม่มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศเหมือนแบบแผ่นกรอง 

ดังนั้น เราจึงขอแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหา PM 2.5 เลือกพิจารณาเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์แบบที่มี HEPA Filter ก่อน และอาจเลือกแบบที่ทำงานได้ทั้งสองระบบ ทั้งมีแผ่นกรองอากาศและปล่อยประจุได้ เพราะปัจจุบันมีเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์จำนวนหนึ่ง ที่เริ่มผสานเอาข้อดีของทั้งสองระบบมารวมกัน เพื่อช่วยฟอกอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่ตัวการเดียวที่ทำให้เรานั้นเจ็บป่วย เพราะยังมีปัญหามลภาวะอื่น ๆ บนท้องถนนอีกมากมายที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นบุหรี่ กลิ่นจากการเผาขยะ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษชื่อว่า ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ที่ถ้าหากสูดดมหรือได้รับเข้าสู่ร่างกายติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

นอกจากนี้ สำหรับคนที่มีสัตว์เลี้ยงและชอบพาสัตว์เลี้ยงขึ้นรถ กลิ่นสัตว์เลี้ยงก็มักจะติดอยู่ในรถด้วย ทำให้รบกวนการขับขี่ได้ สิ่งที่จะช่วยได้คือเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ที่มีมาพร้อมกับชั้นกรอง Activated Carbon หรือชั้นกรองถ่านกัมมันต์ มีลักษณะเป็นสีดำ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับสารระเหย สารเคมีต่าง ๆ ที่ลอยปะปนมากับอากาศอย่างฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) รวมไปถึงดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ทุกชนิด เช่น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นควัน กลิ่นไอระเหย กลิ่นสัตว์เลี้ยง ช่วยทำให้ภายในรถยนต์ไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่ทำลายบรรยากาศระหว่างที่คุณนั่งอยู่ภายในรถยนต์ได้เป็นอย่างดี

เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ครอบคลุมกับรถขนาด 4 ที่นั่ง หรือประมาณไม่เกิน 4 ตารางเมตร หากคุณใช้รถยนต์ขนาด SUV PPV หรือ MPV ที่มีขนาดกว้างกว่า 4 ตารางเมตร ต้องตรวจสอบว่าเครื่องฟอกอากาศรุ่นนั้นทำงานครอบคลุมพื้นที่เท่าไร ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์หลายรุ่นที่ประสิทธิภาพสูง สามารถฟอกอากาศครอบคลุมพื้นที่ได้ 20 - 30 ตารางเมตร ทำให้ใช้กับรถยนต์ได้หลากประเภทยิ่งขึ้น เช่น รถตู้ รถมินิบัส หรือใช้กับห้องนอนได้ ส่วนขนาดของเครื่องฟอกอากาศไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้ว่า จะมีประสิทธิภาพในการฟอกที่สูงขึ้นแต่อย่างใด

สำหรับวิธีการติดตั้งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

• ที่วางแก้วน้ำตรงกลางของรถยนต์ ซึ่งมีขนาดพอดีกับแก้วน้ำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 8 เซนติเมตร 
• บริเวณคอนโซลหน้าหรือหลังรถยนต์ ในบริเวณนี้ให้คุณตรวจสอบขนาดของเครื่องฟอกอากาศว่าวางไว้ตำแหน่งไหนจะสะดวกต่อทัศนวิสัยในการขับขี่มากกว่ากัน 
• แขวนไว้ด้านหลังเบาะนั่งแถวหน้า จะฝั่งคนขับหรือฝั่งผู้โดยสารก็ได้ ทั้งนี้ให้ตรวจสอบคำแนะนำจากผู้ผลิตว่าติดตั้งตรงไหนจึงจะเหมาะสมมากที่สุด

สำหรับคนขับรถยนต์ระยะทางไกลหรือต้องใช้สมาธิในการขับรถยนต์เป็นพิเศษ เราขอแนะนำให้เลือกรุ่นที่ปรับความแรงในการทำงานของตัวเครื่องได้ ซึ่งระดับความแรงที่ว่านี้คือระดับการหมุนของพัดลม ยิ่งถ้าระดับสูง พัดลมก็จะทำงานเต็มกำลัง และทำให้เกิดเสียงดังมากยิ่งขึ้น หรือควรเลือกรุ่นที่มีระบบ Auto เพราะตัวเครื่องจะทำการปรับระดับความแรงโดยอัตโนมัติ เมื่ออากาศภายในรถยนต์สะอาดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้เครื่องฟอกอากาศทำงานหนักตลอดเวลา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์จะทำงานด้วยระดับเสียงประมาณ 20 - 50 เดซิเบล (dB) ซึ่งเป็นระดับเสียงที่ไม่ก่อให้เกิดความรำคาญมากจนเกินไปอยู่แล้ว

เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ต้องอาศัยระบบไฟฟ้าในการทำงาน ดังนั้น ต้องตรวจสอบว่ารุ่นที่คุณสนใจอยู่นั้นอาศัยแหล่งพลังงานไฟฟ้าด้วยวิธีการใด เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา โดยทั่วไปมักใช้การเชื่อมต่อเข้ากับพอร์ต DC 12V หรือที่หลายคนเรียกกันว่าช่องจุดบุหรี่ภายในรถยนต์ 

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องตรวจสอบสายเชื่อมต่อระหว่างเครื่องฟอกอากาศและช่องจุดบุหรี่ ว่ามีความยาวเพียงพอหรือไม่ ไม่ควรทำให้สายตึงจนเกินไป แต่ก็มีอีกหลายรุ่นที่ใช้พอร์ต USB ในการเชื่อมต่อ ซึ่งพอร์ตนี้มักจะมีมาพร้อมกับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ อยู่แล้ว และด้วยความที่เครื่องฟอกอากาศภายในรถยนต์นั้นใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำมาก จึงมีโอกาสที่จะส่งผลเสียต่อระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์น้อยลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ ควรตรวจสอบมาตรฐานการผลิตอย่างละเอียด ประกอบกับการรีวิวสินค้าจากผู้ใช้งานจริงควบคู่กันไปด้วย เพราะมีโอกาสที่บางแบรนด์อาจจะใช้วิธีการสวมรอยแอบอ้าง โดยที่เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไม่สามารถใช้งานฟอกอากาศได้จริงดังคำโฆษณา