10 เครื่องซักผ้าฝาหน้า ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ฟังก์ชันครบ อบแห้งในตัว

การเลือกเครื่องซักผ้าสำหรับครอบครัวใหญ่นั้นจำเป็นที่จะต้องพิจารณาขนาดและความจุที่เหมาะสม เนื่องจากจำนวนสมาชิกที่มากก็ย่อมจะมีปริมาณของเสื้อผ้าที่จะต้องซักทำความสะอาดในแต่ละครั้งมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังควรจะมีฟังก์ชันเสริมที่จะช่วยให้ใช้งานได้อย่างสะดวกและคุ้มค่ามากที่สุด

ครอบครัวขนาดกลางที่มีจำนวนคน 3 - 5 คน ขอแนะนำเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่มีขนาดความจุ 9 กิโลกรัมขึ้นไปที่เป็นเครื่องขนาดกลาง สามารถรองรับปริมาณการซักได้เหมาะสมกับจำนวนคน สามารถซักผ้ารายสัปดาห์ในปริมาณมาก ๆ ได้ รวมทั้งสามารถซักผ้านวมหรือผ้าห่มขนาดใหญ่ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรเป็นผ้านวมหรือผ้าห่มที่มีความหนามากหรือมีน้ำหนักไม่มากจนเกินไปด้วย

โดยทั่วไปแล้วเครื่องซักผ้าฝาหน้าขนาดกลางจะมีโปรแกรมการทำงานหรือฟังก์ชันพื้นฐานครบถ้วนเช่นเดียวกับเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้น หลักในการเลือกเบื้องต้นขอแนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบประเภทเสื้อผ้าของคนในบ้านเป็นหลัก เช่น เน้นการใช้งานเสื้อผ้าประเภทใดเป็นหลัก เสื้อผ้ามีความสกปรกมากน้อยแค่ไหน หรือมีการใช้งานเนื้อผ้าแบบพิเศษหรือไม่ เป็นต้น เพื่อจะได้เลือกโปรแกรมการซักที่ครอบคลุมประเภทเสื้อผ้าของสมาชิกทุกคน

นอกเหนือจากฟังก์ชันพื้นฐานแล้ว สามารถมองหาฟังก์ชันพิเศษเพิ่มเติมได้เพื่อช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม Steam สร้างไอน้ำและใช้ความร้อนในการทำความสะอาดผ้าให้หมดสะอาดมากขึ้น โปรแกรมSensorWash ที่เป็นการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความสะอาดขณะซักผ้า เป็นต้น ทั้งนี้ หากเลือกรุ่นที่มีฟังก์ชันเสริมมากขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย จึงขอแนะนำให้ตรวจสอบก่อนว่าฟังก์ชันเหล่านั้นจำเป็นจริง ๆ หรือไม่

สำหรับครอบครัวขนาดเล็กที่มีสมาชิก 1 - 2 คน หรือมีพื้นที่อาศัยในบ้านค่อนข้างจำกัด ควรเลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่มีขนาดกะทัดรัดที่มีขนาดความจุไม่เกิน 9 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานในครอบครัวเล็ก โดยจะมีราคาที่ไม่สูงเกินไปและไม่ต้องกังวลเรื่องการกินไฟด้วย 

โดยส่วนใหญ่เครื่องซักผ้าจะมีโปรแกรมซักผ้าพื้นฐานมาให้ครบครันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโหมดซักผ้าฝ้ายทั่วไป การซักแบบถนอมผ้า ระบบแช่ผ้า การซักด่วน รวมไปถึงโหมดล้างปั่นหมาด เป็นต้น ซึ่งระดับราคาก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ เพียงแต่อาจไม่ได้มีเทคโนโลยีหรือฟังก์ชันเสริมเยอะมากเท่ารุ่นใหญ่ ๆ โดยแต่ละรุ่นจะต่างกันที่จำนวนโปรแกรมการซักและความเร็วรอบปั่นหมาดสูงสุด ซึ่งจะมีให้เลือกตั้งแต่ 10,000 - 14,000 รอบต่อนาที รวมไปถึงดีไซน์เครื่องหรือวัสดุถังซัก เป็นต้น

การตากผ้าในช่วงที่ไม่มีแดดหรือไม่มีลมอาจทำให้ผ้าไม่แห้ง ซึ่งจะส่งผลให้มีปัญหาเรื่องของกลิ่นอับชื้นตามมาได้ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จำกัดที่ไม่มีที่ตากผ้าหรือไม่มีแดดน้อย เช่น อพาร์ทเมนต์ คอนโด สำหรับคนที่มีปัญหานี้ ขอแนะนำให้เลือกเครื่องซักผ้ารุ่นที่มีระบบอบผ้าในตัว เพื่อช่วยให้ผ้าแห้งสนิทได้โดยไม่ต้องตาก ไม่สะสมความอับชื้น ซึ่งจะช่วยกลิ่นอับของเสื้อผ้าและลดสารก่อให้เกิดภูมิแพ้ลงได้

นอกจากนี้ เครื่องซักผ้าที่มีระบบอบแห้งในตัวยังมีข้อดีสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา เพราะเมื่อผ้าซักเสร็จแล้วก็สามารถตั้งโปรแกรมให้อบต่อได้เลย เสื้อผ้าก็จะแห้งสนิทเอง ไม่ต้องเสียเวลาตากผ้า จึงช่วยประหยัดเวลาได้มาก และอีกหนึ่งข้อดีคือไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนด้วย

ทั้งนี้ ก่อนเลือกซื้อควรพิจารณาขนาดความจุอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากเครื่องซักผ้าฝาหน้าบางรุ่นอาจมีความจุสำหรับการอบผ้าไม่เท่ากับการซักผ้า ทำให้ไม่สามารถตั้งค่าการทำงานอัตโนมัติตั้งแต่ตอนซัก ล้าง ปั่น ไปจนถึงการอบได้ ต้องแยกผ้าเป็นสองรอบ เพื่อช่วยให้สามารถอบผ้าได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

อีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญในการเลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าก็คือ ความเร็วรอบในการหมุนหรือการปั่น โดยจะนับเป็นรอบต่อ 1 นาที ยิ่งมีความเร็วรอบที่สูงหรือถี่ ก็จะยิ่งปั่นผ้าให้แห้งหมาดไวขึ้น แต่ควรเลือกความเร็วรอบให้เหมาะสมกับลักษณะของผ้า เพราะถ้าหากเลือกไม่เหมาะสมก็จะทำให้ผ้าเกิดความเสียหายได้

โดยผ้าที่มีลักษณะบางอย่างผ้าไหม ผ้าชีฟอง หรือผ้าซาตินจะเหมาะกับความเร็วรอบต่ำกว่า 800 รอบต่อนาที ในขณะที่ผ้าที่ต้องการให้รีดง่ายอย่างผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ ผ้าซักมือ ควรจะเลือกความเร็วรอบอยู่ที่ 1,000 รอบต่อนาที ส่วนผ้าที่มีความหนาอย่างผ้ายีนส์นั้นควรเลือกที่มากกว่า 1,000 รอบต่อนาที ทั้งนี้ การเลือกความเร็วรอบให้เหมาะสมนั้นไม่ควรจะไปปรับหรือเลือกด้วยตัวเอง ควรใช้งานตามโปรแกรมซักผ้าที่เลือก เพราะกำหนดมาให้เหมาะสมกับการใช้งานอยู่แล้ว 3 สำหรับครอบครัวขน

เครื่องซักผ้าฝาหน้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงานมาก จึงทำให้ส่งผลกระทบกับค่าไฟได้ ดังนั้น ขอแนะนำให้เลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่เป็นระบบ Inverter เนื่องจากระบบนี้เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน โดยมอเตอร์จะมีการทำงานเสถียรกว่ามอเตอร์ระบบอื่น จึงช่วยประหยัดพลังงานในการซัก สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าเดิมถึง 30% เลยทีเดียว

นอกจากนี้ การทำงานของระบบ Inverter ยังมีข้อดีในเรื่องของเสียงที่เบาขณะเครื่องซักผ้าทำงาน เพราะมีการควบคุมการทำงานของมอเตอร์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำงานได้เงียบ เมื่อเทียบกับมอเตอร์ในระบบธรรมดา จึงส่งผลต่อเรื่องความทนทานของอุปกรณ์ที่ยาวนานกว่าด้วย