10 เจลเก็บความเย็น ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ใช้แช่อาหาร ประคบร่างกาย

เจลเก็บความเย็นจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ แบบนิ่มและแบบแข็ง ซึ่งสามารถพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งานได้ ดังนี้ 

เจลเก็บความเย็นทั้งแบบนิ่มและแบบแข็งถูกออกแบบให้มีด้วยกันหลายขนาดและความจุเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย โดยสามารถพิจารณาเลือกที่เหมาะสมได้ ดังนี้

เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีผลต่อสุขภาพในระยะยาวและความปลอดภัยในการใช้งาน เราจะแนะนำให้เลือกวัสดุภายนอกของเจลเก็บความเย็นที่ปลอดภัย ปราศจากสารเคมีอันตรายที่อาจปนเปื้อนสู่ร่างกายได้ โดยให้พิจารณาจากคุณสมบัติของวัสดุภายนอก ดังต่อไปนี้

1. เลือกวัสดุที่เป็น Food Grade หรือเกรดอาหาร ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่า วัสดุมีความปลอดภัยและสัมผัสกับอาหารได้ โดยไม่ทำให้เกิดการปนเปื้อนจากสารเคมีอันตรายต่าง ๆ เหมาะสำหรับการแช่อาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ นมแม่ หรือจะใช้ประคบกับร่างกายก็ได้

2. เลือกวัสดุที่ปลอดสาร BPA และ Phthalates เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของสารเคมีที่อาจเล็ดลอดและปนเปื้อนลงในอาหารหรือเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งสารดังกล่าวนี้มักพบในพลาสติกคุณภาพต่ำและมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้

เพื่อให้สามารถเลือกเจลเก็บความเย็นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้มากที่สุด ควรพิจารณาถึงความสามารถในการทำความเย็นสูงสุดให้เหมาะสมกับการใช้งาน ดังนี้

1. 0 ถึง -5 องศาเซลเซียส เหมาะกับการแช่อาหารทั่วไป เช่น ผัก ผลไม้ อาหารปรุงสำเร็จ และของว่าง หรือใช้ในการประคบร่างกายโดยไม่ทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง

2. -10 ถึง -18 องศาเซลเซียส เหมาะกับการแช่ของที่ต้องการความเย็นมาก แต่ไม่ถึงกับต้องแช่แข็ง เช่น น้ำดื่ม นม หรืออาหารสดที่ต้องการคงอุณหภูมิให้เย็นจัดเพื่อความสดใหม่

3. -21 ถึง -25 องศาเซลเซียส เหมาะกับการเก็บอาหารแช่แข็ง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการอุณหภูมิต่ำพิเศษเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา

นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงความสามารถในการรักษาความเย็นให้เหมาะกับต้องการใช้งาน โดยมักจะมีตั้งแต่ 2 - 12 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์ โดยระยะเวลาอาจขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ณ สถานที่ที่ใช้งาน จึงแนะนำให้เลือกเจลที่เก็บความเย็นได้ตั้งแต่ประมาณ 4 ชั่วโมงขึ้นไป หากใช้ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด

วิธีการใช้งานเจลเก็บความเย็นจะมี 2 วิธีการใช้งานต่างกัน คือ เจลเย็นที่แช่เย็นได้ทันที และเจลเย็นที่ต้องเติมน้ำก่อนใช้งาน ซึ่งแต่ละวิธีการจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. เจลเย็นที่แช่เย็นได้ทันที เป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพียงนำเจลไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง (ตามคำแนะนำของผู้ผลิต) ปกติจะใช้เวลาประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง จนกว่าเจลจะมีอุณหภูมิที่เหมาะสม มีข้อดี คือ วิธีการใช้งานสะดวกและใช้เจลเย็นได้ทันทีหลังจากแช่เย็น ทั้งยังเก็บความเย็นได้นาน ขึ้นอยู่กับขนาดและอุณหภูมิที่แช่ แต่มีข้อจำกัด คือ หากแช่ไม่ถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม ความเย็นอาจไม่ยาวนานพอ
2. เจลเก็บความเย็นที่ต้องเติมน้ำก่อนใช้งาน เติมน้ำลงไปในช่องที่กำหนดไว้ แล้วคนหรือเขย่าจนเจลกระจายตัวและดูดซับน้ำจนเต็ม จากนั้นจึงทำไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง โดยวิธีการนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากค่อนข้างยุ่งยากในการเติมน้ำและใช้เวลาในการแช่เย็นค่อนข้างนาน