10 จักรยานเสือภูเขา ยี่ห้อไหนดี ปี 2024 ปั่นท่องเที่ยว ออฟโรด

จักรยานเสือภูเขาแต่ละรุ่นจะมีการใช้วัสดุเฟรมที่ต่างกัน ซึ่งเฟรมแต่ละแบบจะส่งผลลัพธ์ในการขับขี่ที่ต่างกัน ทั้งความทนทาน ความเร็ว และความเสถียร โดยส่วนใหญ่แล้ววัสดุทุกตัวจะมีความแข็งแรงทนทานอยู่แล้ว แต่หลัก ๆ จะต่างกันที่น้ำหนักและความ Stiff มากกว่า 

สำหรับวัสดุที่นิยมนำมาประกอบเป็นเฟรมจักรยานเสือภูเขาคือ อะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ โดยแต่ละวัสดุจะมีข้อแตกต่างกันดังนี้

・อะลูมิเนียม มีราคาที่ย่อมเยา แต่มีน้ำหนักมากกว่าเฟรมคาร์บอนไฟเบอร์และมักมีแนวโน้มที่จะมาพร้อมกับชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่หนักด้วย ทำให้น้ำหนักรวมของจักรยานจึงมากกว่าจักรยานคาร์บอนไฟเบอร์อย่างเห็นได้ชัด

・คาร์บอนไฟเบอร์  เป็นวัสดุที่ใช้ผลิตเฟรมของจักรยานเสือภูเขาระดับไฮเอนด์ เพราะมีความแข็งแรงและน้ำหนักเบา อีกทั้งยังให้ความ Stiff หรือความมั่นคงที่มากกว่า แต่ก็มาพร้อมกับราคาที่สูงกว่าเฟรมอะลูมิเนียมเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีวัสดุเฟรมอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่ โลหะประเภทอัลลอยและไทเทเนียม ซึ่งโลหะอัลลอยจะมีความแข็งและราคาไม่แพง แต่ค่อนข้างหนัก ส่วนไทเทเนียมจะมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง แต่ราคาอาจสูงเกินไปสำหรับจักรยานเสือภูเขาทุกรุ่น ดังนั้นอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์จึงถือเป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

・V-Brake เป็นระบบที่ใช้มากที่สุดในจักรยานเสือภูเขาราคาประหยัด โดยตัวเบรกจะมีที่ยึดสองตัวอยู่ที่ล้อแต่ละข้าง อีกทั้งตำแหน่งของตัวยึดยังมีการออกแบบที่แข็งแรง ไม่โค้งงอง่าย และมีน้ำหนักที่เบากว่า Disc Brake และเนื่องจากเป็นระบบเบรกที่ไม่ซับซ้อนจึงซ่อมบำรุงง่าย สามารถปรับแต่งหรือบำรุงรักษาด้วยตนเองได้ แต่ข้อเสียคือหากอยู่ในที่สภาพอากาศที่เปียกชื้นและเบรกเปียก กำลังเบรกจะสูญเสียไปอย่างมาก

จักรยานเสือภูเขามีการใช้ความเร็วที่แตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ โดยระดับความเร็วเดินทางอาจจะแตกต่างกันไปตามระดับฝีเท้าของนักปั่นเองตั้งแต่ความเร็วต่ำ ๆ ไปถึงความเร็วเฉลี่ยระดับ 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่มีผลกับความเร็วนอกจากความแข็งแรงของนักปั่นก็คือ เกียร์จักรยาน ซึ่งจำนวนเกียร์ของจักรยานคำนวณได้จากจำนวนใบจานหน้าคูณด้วยจำนวนเฟืองบนเฟืองท้าย ยิ่งมีเกียร์มากเท่าใด ความสามารถในการปรับเกียร์ให้เข้ากับภูมิประเทศที่ขี่ก็ยิ่งสูงขึ้น และทำให้ขับขี่ได้ลื่นไหลมากขึ้น

จักรยานเสือภูเขาหลายรุ่นในปัจจุบันมีใบจานเดี่ยวที่ด้านหน้าและเฟืองหลังแบบกว้าง โดยมีฟันเฟืองตั้งแต่ 8 - 12 ซี่ การตั้งค่าใบจานเดี่ยวประเภทนี้ เรียกว่า "ทีละจาน" เช่น 1x8, 1x9, 1x10 เป็นต้น ซึ่งจักรยานที่มีใบจานเดี่ยวจะเบากว่าและใช้งานง่ายกว่า เพียงแค่คำนึงถึงการเปลี่ยนแฮนด์ที่ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังไม่ต้องกังวลกับ "การต่อโซ่ไขว้" อันเกิดจากการเปลี่ยนเกียร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่อาจเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงโซ่หรือเปลี่ยนเกียร์ผิดพลาดได้ ทั้งนี้ ระบบการเปลี่ยนเกียร์ของจักรยานสามารถแก้ไขได้หลังจากที่ซื้อจักรยานแล้ว แต่อาจมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนที่สูง

สำหรับการปั่นจักรยานในพื้นที่ทุรกันดารมากและมีความท้าทายจะต้องการจักรยานที่มีความทนทานสูง จึงแนะนำให้เลือกจักรยานเสือภูเขาแบบที่มีระบบกันสะเทือนแบบเต็มรูปแบบ (Full Suspension) ซึ่งจะช่วยดูดซับแรงกระแทกจากเส้นทางได้มากที่สุด ด้วยโช้กอัพหน้าและระบบกันสะเทือนหลัง จึงยังช่วยปกป้องผู้ขับขี่จากภูมิประเทศที่ขรุขระ ลดความเมื่อยล้า สร้างการขับขี่ที่ราบรื่นและสะดวกสบายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระบบกันสะเทือนด้านหลังยังให้การยึดเกาะและการควบคุมที่ดีขึ้น โดยการออกแบบระบบกันสะเทือนสมัยใหม่จะช่วยลดอาการกระแทกของแป้นเหยียบเมื่อขึ้นเนินอีกด้วย

หากเป็นการปั่นระยะทางไกลที่อาจต้องเจอพื้นที่ขรุขระบ้างจะสามารถเลือกได้ทั้งระบบ V-Brake และ Disc Brake แต่เมื่อเป็นการปั่นบนพื้นที่ทุรกันดาร เส้นทางวิบากแล้วล่ะก็ระบบเบรกที่เหมาะสมที่สุดคือ Disc Brake ทั้งแบบไฮดรอลิกหรือแบบกลไก โดยเบรกไฮดรอลิกจะให้กำลังในการหยุดมากกว่า แต่เบรกจะมีราคาสูงกว่าและมีการบำรุงรักษาที่ยากกว่าแบบกลไก

นอกจากนี้ การขับขี่ที่ต้องลุยทางทุรกันดารจำเป็นต้องพิจารณาส่วนประกอบของเบรกด้วยเพื่อให้เหมาะกับลักษณะการปั่นมากที่สุด โดยตัวหลัก ๆ ที่ต้องพิจารณาคือ

・ผ้าดิสก์เบรกพื้นฐานจะมี 3 ประเภท ได้แก่ แบบกึ่งโลหะ แบบเซรามิก และแบบออร์แกนิก ซึ่งผ้าเบรกกึ่งโลหะจะให้การหยุดที่มีประสิทธิภาพและไม่สึกหรอเร็ว ส่วนผ้าเบรกออร์แกนิกจะสร้างเสียงรบกวนน้อย แต่สึกหรอเร็วกว่าและควรหลีกเลี่ยงหากขับขี่บนถนนเปียก และผ้าดิสก์เบรกเซรามิกซึ่งจะคล้ายกับผ้าเบรกกึ่งโลหะแต่มีประสิทธิภาพในการทนความร้อนดีขึ้น ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าให้เลือกแบบกึ่งโลหะหรือเซรามิกก็ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงแบบออร์แกนิก

・โรเตอร์ในระบบ Disc Brake คือ ดิสก์ทรงกลมที่ติดตั้งอยู่บนล้อ ทำหน้าที่การกระจายความร้อนที่เกิดจากการเบรก สำหรับการลุยทางวิบากโหด ๆ ควรเลือกเส้นผ่านศูนย์กลางของโรเตอร์ขนาดใหญ่เพราะจะช่วยถ่ายเทความร้อนได้ดีขึ้น

ล้อขนาด 26 นิ้วเคยเป็นขนาดมาตรฐานสำหรับจักรยานเสือภูเขา แต่ในปัจจุบันล้อขนาด 26 นิ้วนี้จะพบได้เฉพาะในจั๊มไบค์ จูเนียร์ไบค์ และจักรยานเสือภูเขาขนาดเล็กพิเศษ ส่วนขนาดล้อ 29 นิ้ว จะเหมาะกับการปั่นแบบ Cross-country และ Trail ข้อดีของล้อขนาด 29 นิ้ว คือ มีความต้านทานต่อการหมุนที่ต่ำกว่าและมีการยึดเกาะที่เพิ่มขึ้น เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพื้นผิวขรุขระ ทั้งนี้ ด้วยขนาดล้อที่ใหญ่จะทำให้รู้สึกเทอะทะและเคลื่อนที่ยากในเส้นทางที่แคบ และยังยากต่อการออกแบบระบบกันสะเทือนอีกด้วย

ขนาดของล้อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจึงเป็นขนาด 27.5 นิ้ว เพราะมีแรงต้านการหมุนต่ำและมีการยึดเกาะมากกว่าล้อขนาด 26 นิ้ว อีกทั้งยังเบากว่าและคล่องตัวกว่าล้อขนาด 29 นิ้วอย่างเห็นได้ชัด เหมาะกับจักรยานเสือภูเขาประเภทที่ลุยทางวิบากโหด ๆ และจักรยานประเภท Downhill