10 แผงโซลาร์เซลล์ ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 สำหรับใช้ในบ้าน และพกพา

แผงโซลาร์เซลล์แบ่งตามการใช้งานได้ 2 ประเภทได้แก่ แผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป และแผงโซลาร์เซลล์แบบพกพา โดยมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้ 

แผงโซลาร์เซลล์สามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 3 ชนิดหลัก ตามวัสดุที่ใช้ในการผลิต ซึ่งทั้ง 3 ชนิดนี้ มีจุดเด่นและข้อพิจารณาที่แตกต่างกันไป คุณจึงจำเป็นต้องตรวจสอบเพื่อให้สามารถเลือกชนิดที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้ดีที่สุด

• โมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Silicon Solar Cells) : ผลิตจากผลึกซิลิคอนเชิงเดี่ยว ซึ่งมีความบริสุทธิ์สูง จึงเป็นชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดคือ 15-20% ผลิตกระแสไฟฟ้าได้มาก และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มีจุดสังเกตคือแผงโซลาร์เซลล์จะมีสีเข้มกว่าชนิดอื่น ข้อพิจารณาคือมีราคาสูง

• โพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Silicon Solar Cells) : หรือเรียกว่า Multi Crystalline Silicon ผลิตจากผลึกรวมซิลิคอน มีจุดเด่นคือราคาที่ถูกกว่าแบบโมโนคริสตัลไลน์ อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพการทำงานในอุณหภูมิสูงที่ดีกว่า แต่ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าโดยรวมยังต่ำกว่าแบบโมโนคริสตัลไลน์ หรือ 13-16%

• แผงโซล่าเซลล์ชนิด ฟิล์มบาง (Thin Film Solar Cells) : ใช้วัสดุที่หลากหลายในการผลิต เช่น ซิลิคอน, แคดเมียม เทลลูไรด์, CIGS จึงอาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป แต่มีลักษณะคล้ายกันคือเป็นฟิล์มบางหลายชั้นซ้อนกัน มีประสิทธิภาพเฉลี่ย 7-13% หรือประสิทธิภาพน้อยกว่าชนิดอื่น แต่มีราคาย่อมเยา เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดหรือผลิตไฟฟ้าปริมาณน้อย

ระบบการทำงานของโซลาร์เซลล์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักด้วยกัน คือแบบ On-Grid และ Off-Grid ซึ่งมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คุณจึงจำเป็นต้องตรวจสอบควบคู่ไปกับการเลือกแผงโซลาร์เซลล์

• On-Grid System : เป็นระบบการทำงานที่เชื่อมต่อแผงโซลาร์เซลล์เข้ากับระบบไฟฟ้าปกติหรือที่เรียกว่าไฟบ้านโดยตรง ซึ่งพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์นั้นจะยังเป็นกระแสตรง จึงต้องการตัวกลางอย่าง Inverter ในการแปลงกระแสให้ใช้กับไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับได้ มีข้อพิจารณาคือใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตอนกลางวันหรือเมื่อมีแสงแดดเท่านั้น

• Off-Grid System : เป็นระบบการทำงานที่เชื่อมต่อแผงโซลาร์เซลล์เข้ากับแบตเตอรี่โดยที่ไม่ต่อเข้ากับระบบไฟบ้าน โดยในตอนกลางวันจะเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยโซลาร์เซลล์แล้วเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้งานได้ทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน ซึ่งระบบนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงจากตัวแบตเตอรี่และค่าบำรุงรักษา 

แผงโซลาร์เซลล์มีด้วยกันหลายขนาด ซึ่งแต่ละขนาดมีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานหรือกำลังไฟฟ้าไม่เท่ากัน เพื่อให้สามารถใช้งานไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง คุณจึงจำเป็นต้องเลือกแผงโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมหรือเพียงพอกับความต้องการใช้งาน 

• ต่ำกว่า 100W : แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็ก สำหรับพกพา มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ไม่มากนัก จึงเหมาะสำหรับใช้ชาร์จอุปกรณ์ขนาดเล็กต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน โคมไฟ พัดลม แบตเตอรี่สำรอง และหลอดไฟ 

• 200-450W : เป็นแผงโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังไฟฟ้าค่อนข้างสูง สามารถผลิตไฟฟ้าได้มาก ส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาใช้กับระบบไฟฟ้าภายในบ้านท้ั้ง On-Grid และ Off-Grid หรือปั๊มน้ำโซลาร์เซลล์ อีกทั้งยังนิยมนำมาใช้กับแบตเตอรี่สำรองขนาดใหญ่อย่าง Power Station อีกด้วย 

• 500W ขึ้นไป : แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ มีกำลังในการผลิตไฟฟ้าที่มาก จึงนิยมใช้กับพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะใช้เป็นจำนวนหลายแผง เช่น การใช้งานเชิงพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โซลาร์ฟาร์ม เป็นต้น

โซลาร์เซลล์นั้นมีหลากหลายขนาดและมีน้ำหนักที่แตจกต่างกันไป ซึ่งแต่ละขนาดใช้พื้นที่ในการติดตั้งและเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบขนาดและน้ำหนัก เพื่อที่จะได้เตรียมพื้นที่ในการติดตั้งอย่างเพียงพอ

• แผงขนาดเล็ก : มีขนาดประมาณ 0.5 x 1 เมตร และน้ำหนัก 5-10 กิโลกรัม เหมาะสำหรับพื้นที่ติดตั้งที่มีจำกัด เช่น โซลาร์เซลล์แบบพกพา ระบบไฟส่องสว่าง ชุดนอนนา เป็นต้น

• แผงขนาดกลาง : มีขนาดประมาณ 1 x 1.7 เมตร และน้ำหนัก 15-20 กิโลกรัม เป็นขนาดที่นิยมใช้กันในบ้านเรือนขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้มากกว่า 1 แผง จึงต้องเตรียมพื้นที่ติดตั้งให้เพียงพอ

• แผงขนาดใหญ่ : มีขนาดประมาณ 1.2 x 2 เมตร และน้ำหนัก 25 กิโลกรัมขึ้นไป ใช้พื้นที่ติดตั้งค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่แล้วจึงนิยมใช้สำหรับเชิงพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือโซลาร์ฟาร์มเป็นหลัก

แผงโซลาร์เซลล์แต่ละรุ่นมักจะมาพร้อมกับฟังก์ชันเพิ่มเติม ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความทนทาน และความปลอดภัยในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันเพิ่มเติมที่น่าสนใจของแผงโซลาร์เซลล์ มีดังนี้

• ประสิทธิภาพกันฝุ่นและน้ำ (IP Rating) : เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์ต้องถูกติดตั้งไว้กลางแจ้งตลอดเวลาเพื่อรับแสงแดด จึงควรต้องมีประสิทธิภาพกันฝุ่นและน้ำ ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร IP และตัวเลขสองหลัก หลักแรกหมายถึงการกันฝุ่น หลักหลังหมายถึงการกันน้ำ ยิ่งเลขมากยิ่งป้องกันได้ดี ซึ่งควรเลือกรุ่นที่มี IP65 ขึ้นไป

• ระบบป้องกันการจ่ายไฟเกิน : ในกรณีที่ฟ้าฝ่าหรือเกิดเหตุขัดข้องทางไฟฟ้าต่าง ๆ อาจทำให้เกิดการจ่ายกระแสไฟฟ้าเกินและนำไปสู่เหตุเพลิงไหม้ได้ เมื่อมีระบบป้องกันการจ่ายไฟเกินจะช่วยเสริมความปลอดภัย เพราะจะช่วยควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

• ระบบติดตามแสงอาทิตย์ : มักจะพบเห็นได้ในแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ ซึ่งระบบนี้จะใช้เซนเซอร์และซอฟต์แวร์ในการติดตามตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เมื่อตรวจพบตำแหน่งที่แสงอาทิตย์ส่องได้ดีที่สุด แผงโซลาร์เซลล์จะทำการหันไปหาดวงอาทิตย์ ณ ตำแหน่งนั้นโดยอัตโนมัติ

• ระบบป้องกันเงา : หรือการต่อบายพาสไดโอด (Bypass Diodes) จะช่วยทำให้แผงโซลาร์เซลล์ยังคงผลิตไฟฟ้าได้ ในกรณีที่มีเงามาบดบังแสงอาทิตย์ในขณะที่โซลาร์เซลล์กำลังรับพลังงาน ซึ่งทำให้เกิดความต้านทานที่สูงและอาจไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เมื่อต่อบายพาสไดโอดจะยังทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ แต่อาจจะผลิตได้ในปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิม