10 เครื่องซักผ้า ราคาไม่เกิน 5000 บาท ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ฝาบนถังเดี่ยว 2 ถัง

ขนาดความจุของเครื่องซักผ้าแบ่งออกเป็นขนาดเล็กใหญ่ตามความสามารถในการจุน้ำหนักผ้าขณะที่ยังแห้งโดยมีหน่วยเป็นกิโลกรัม ซึ่งขนาดความจุนี้เองเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องคำนึงถึงขณะเลือกซื้อเครื่องซักผ้า เพราะความจุที่น้อยเกินไปจะทำให้เราต้องเสียเวลาซักผ้ากันหลายรอบ และหากฝืนใส่ผ้ามากเกินไปก็จะทำให้ซักได้ไม่สะอาด แต่ความจุที่มากเกินความจำเป็นก็ทำให้เปลืองไฟและน้ำด้วยเช่นกัน 

การจะหาเครื่องซักผ้าที่มีขนาดความจุที่เหมาะกับครอบครัวของเรานั้นก็ง่ายนิดเดียวเลยค่ะ เพียงแค่พิจารณาถึงจำนวนสมาชิกในบ้าน ปริมาณผ้าที่ซักในแต่ละครั้ง และความถี่ในการซักผ้าในแต่ละสัปดาห์ที่หากเราขยันซักผ้าบ่อย ๆ ก็อาจไม่ต้องการขนาดความจุที่มากนักเมื่อเทียบกับใครที่ซักผ้าสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ชัดเจนมากขึ้นเราไปดูตัวอย่างการจับคู่ปริมาณผ้ากับขนาดความจุของเครื่องซักผ้าโดยทั่วไปกันเลยค่ะ แต่ขอฝากไว้อีกนิดว่าหากใครกำลังมองหาเครื่องซักผ้าที่สามารถซักผ้านวมได้ด้วยแนะนำให้เริ่มต้นที่ขนาดความจุ 9 กิโลกรัม ขึ้นไปนะคะ 

• ขนาดความจุ 5-6.9 กิโลกรัม เหมาะกับปริมาณเสื้อผ้าไม่เกิน 30 ชิ้น 
• ขนาดความจุ 7-8.9 กิโลกรัม เหมาะกับปริมาณเสื้อผ้าไม่เกิน 45 ชิ้น 
• ขนาดความจุ 9-10.9 กิโลกรัม เหมาะกับปริมาณเสื้อผ้าไม่เกิน 65 ชิ้น
• ขนาดความจุตั้งแต่ 11 กิโลกรัม เหมาะกับปริมาณเสื้อตั้งแต่ 56 ชิ้น ขึ้นไป

เครื่องซักผ้าส่วนใหญ่มักมาพร้อมกับโปรแกรมการซักพื้นฐานอย่างแช่ผ้าและปั่นหมาด แต่ก็มีอีกหลายรุ่นที่มีโปรแกรมการซักที่ช่วยเพิ่มความสะดวกไปอีกระดับ เช่น โปรแกรมสำหรับซักผ้าแต่ละชนิดโดยเฉพาะที่แยกเป็นผ้าขนสัตว์ ผ้าคอตตอน และผ้าห่ม เป็นต้น เพราะผ้าแต่ละชนิดต่างก็ต้องการเวลาและระดับในการซักที่แตกต่างกันเพื่อให้เกิดการถนอมผ้าและยืดอายุการใช้งาน แต่ที่น่าสนใจคือเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ ๆ ยังมีโปรแกรมพิเศษที่ห่วงใยผู้ใช้งานอย่าง "โปรแกรมขจัดสารภูมิแพ้" ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก หรือกระทั่งโปรแกรมที่ให้เราสามารถควบคุมการซักผ้าผ่านแอปพลิเคชันในมือถือได้อีกด้วย 

เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและสะดวกสบายในการใช้งานเราจึงควรเลือกซื้อเครื่องซักผ้าที่มีโปรแกรมการใช้งานที่หลากหลายครอบคลุมผ้าหลายชนิด รวมถึงโปรแกรมพิเศษอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ แต่ก็ต้องยอมแลกกับความจริงที่ว่ายิ่งมีโปรแกรมการซักมาก ราคาก็ยิ่งสูงตาม 

รอบปั่นหมาด (RPM)  คือจำนวนรอบในการหมุนเพื่อปั่นแห้งของเครื่องซักผ้าในหนึ่งนาที ยิ่งจำนวนรอบปั่นหมาดมากผ้าก็ยิ่งแห้งมาก แต่อย่าพึ่งด่วนสรุปไปนะคะว่ายิ่งรอบปั่นสูงก็ยิ่งดี เพราะรอบปั่นที่สูงอาจทำให้ผ้าที่บอบบางเสียหายได้ ส่วนรอบปั่นที่น้อยก็อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ผ้าเนื้อหนาแห้งได้ 

รอบปั่นหมาดที่เหมาะสมนอกจากจะทำให้ผ้าแห้งช่วยลดเวลาในการตากแล้ว ยังช่วยถนอมผ้าให้ใช้งานได้ยาวนาน ผ้าที่มีความบอบบางนั้นใช้รอบปั่นที่ 300 - 500 RPM ก็เพียงพอแล้ว ผ้ายีนส์เหมาะกับรอบปั่นที่ 1000 RPM และผ้าที่หนาอย่างผ้าขนสัตว์ควรใช้รอบปั่นที่ 1200 RPM แต่หากใช้รอบปั่นที่ต่ำไปกว่านี้ ต้องใช้เวลาในการตากหรือนำเข้าเครื่องอบผ้านานขึ้น ดังนั้นขณะเลือกซื้อเครื่องซักผ้าจึงต้องสังเกตรอบปั่นหมาดกันให้ดี ๆ นะคะ ว่าเหมาะกับผ้าส่วนใหญ่ของเราหรือไม่ แต่ทางที่ดีแนะนำว่าเลือกเป็นเครื่องซักผ้ารุ่นที่สามารถปรับรอบปั่นหมาด (RPM) ได้หลายระดับจะดีกับผ้าของเรามากกว่า

หากโปรแกรมซักผ้าที่มากับเครื่องยังไม่โดนใจ แนะนำให้มองหาเครื่องซักผ้าที่มีฟังก์ชันให้เราตั้งเวลาในการซักได้ตามต้องการ เช่น จำนวนครั้งในการล้าง เวลาในการปั่นแห้ง และเวลาที่ใช้ในการซักที่หากวันไหนผ้าของเราสกปรกมากก็สามารถตั้งค่าให้ซักได้นานขึ้น หรือวันไหนไม่ค่อยมีแสงแดดก็สามารถตั้งค่าให้ปั่นแห้งนานกว่าเดิมได้ ซึ่งความยืดหยุ่นในการตั้งเวลานี้ยังเป็นประโยชน์กับใครที่ชอบซักผ้าหลาย ๆ ชนิดรวมกัน 

นอกจากนี้ เครื่องซักผ้าหลายรุ่นยังมีฟังก์ชันตั้งเวลาซักอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ฟังก์ชันตั้งเวลาซักล่วงหน้า เหมาะกับใครที่ชีวิตเร่งรีบ เพราะเราสามารถตั้งเวลาได้ล่วงหน้าให้เครื่องซักผ้าเริ่มทำงานจนซักเสร็จพอดีในเวลาที่กำหนด เช่น ตั้งเวลาให้ซักเสร็จขณะที่กลับมาถึงบ้านพอดี หรือจะตั้งเวลาให้ซักเสร็จก่อนที่ตื่นนอนตอนเช้า แต่ทางเราไม่แนะนำให้ตั้งเวลาให้ซักเสร็จล่วงหน้านานหลายชั่วโมง เพราะจะทำให้ผ้ามีกลิ่นเหม็นอับจนต้องเสียเวลาซักกันใหม่อีกรอบ 

นอกจากคุณสมบัติในการใช้งานที่เราดูกันไปข้างต้นแล้ว "บริการหลังการขาย" ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาว่า ทางผู้ขายมีบริการขนส่งสินค้าและติดตั้งให้ที่บ้านหรือคอนโดของเราหรือไม่ เพราะเครื่องซักผ้ามีการติดตั้งที่ซับซ้อน และต้องการช่างที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาในการใช้งานตามมาภายหลัง 

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เราต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนว่า "การรับประกัน" นั้นครอบคลุมเป็นระยะเวลากี่ปี โดยเป็นประกันตัวเครื่องหรือประกันมอเตอร์ และมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง หรือเราสามารถซื้อบริการขยายระยะเวลาการรับประกันเพิ่มเติมได้หรือไม่ เพราะเครื่องซักผ้านั้นมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนาน เราจึงต้องมั่นได้ใจว่าหากเกิดปัญหาในการใช้งาน เราจะสามารถเรียกใช้บริการในการซ่อมแซมจากช่างผู้เชี่ยวชาญได้