10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ 17 ยี่ห้อไหนดี ปี 2024 รวมยี่ห้อดัง นุ่มเงียบ ได้มาตรฐาน

ยางแบบคอมฟอร์ท (Comfort Tire) มีจุดเด่นในเรื่องความนุ่มเงียบนั่งสบาย โดยในช่วงแรกของการวางจำหน่ายยางประเภทนี้มักจะนิยมใช้ในรถสมรรถนะสูง หรือในรถที่เน้นความนุ่มนวลเป็นหลักอย่างรถซีดานหรือรถโดยสาร แต่เมื่อเวลาผ่านไปทางผู้ผลิตจึงมีการคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ทำให้ในปัจจุบันยางประเภทนี้มีตัวเลือกมากมาย และสามารถรองรับรถยนต์ได้หลากหลายรุ่น

ในเรื่องของความเงียบในห้องโดยสารขณะขับขี่ ยางรถยนต์ที่ช่วยในเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ ลาย Rib ซึ่งเป็นลายของดอกยางที่มีจุดเด่นในเรื่องของความละเอียดของร่องยางที่เป็นจุดเกิดเสียงเมื่อลมไหลผ่านร่องดอกยาง ซึ่งถ้าลายดอกยางมีความละเอียดมาก ลมที่ไหลผ่านก็จะน้อยลง ทำให้เกิดเสียงน้อยลงตามไปด้วย

อีกหนึ่งปัจจัยคือความแข็งของเนื้อยางที่ส่งผลต่อการเกิดเสียงโดยตรง และยิ่งแข็งมากก็ยิ่งเกิดเสียงดัง แต่ยางเส้นใหม่จะมีความนุ่มนวลที่ทำให้เกิดเสียงเบาขณะขับขี่ ซึ่งตัวยางจะแข็งขึ้นเมื่อผ่านการใช้งานเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดเสียงดังมากกว่าเดิม และเพื่อให้ยางมีอายุการใช้งานยาวนานและคงไว้ซึงประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน ตัวยางจึงต้องมีส่วนผสมของซิลิกาและคาร์บอนแบล็คในปริมาณที่เหมาะสม

สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการประหยัดน้ำมันเป็นหลัก และขับขี่รถด้วยความเร็วที่ไม่มากนักอย่างเช่นการขับในเมือง การเลือกยางแบบประหยัดพลังงาน (ECO Tire) ที่มีจุดเด่นคือการกระจายตัวของการรับแรงสม่ำเสมอถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังมีความนุ่มนวลขณะขับขี่ ยังช่วยในเรื่องของควบคุมรถได้ดีมากขึ้น

ยางรถยนต์แบบสปอร์ต (Sport Tire) เป็นยางที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะในเรื่องของการเพิ่มพื้นที่การสัมผัสระหว่างล้อกับพื้นถนนด้วยดองยางขนาดใหญ่และร่องดองยางที่ลึก ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการยึดเกาะถนน ซึ่งถ้าหากหน้ายางมีพื้นที่ในการสัมผัสกับถนนมาก ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อด้วยตาเปล่าได้เลย เพราะขนาดหน้ายางแต่ละรุ่นล้วนมีเอกลักษณ์เด่นชัดในเรื่องของความกว้างและความลึกของร่องดอกยาง

สำหรับความลึกของร่องดอกยางที่ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัย เพราะมีหน้าที่หลักในการช่วยระบายน้ำออกจากร่องดอกยาง เพื่อป้องกันไม่ให้รถเหินน้ำ เพราะผู้ขับขี่รถยนต์อาจจะต้องพบเจอกับสภาพถนนที่แตกต่างกันไปทั้งถนนเปียกและถนนแห้ง โดยเฉพาะถนนเปียกที่การมีอยู่ของร่องดอกยางจะทำงานได้ดีเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าตัวยางมีร่องดอกยางขนาดใหญ่ยิ่งช่วยให้ระบายน้ำได้ดี จึงควรเลือกซื้อจากยางพื้นที่สัมผัสของหน้ายางและขนาดร่องดอกยางเพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ รวมถึงควรเลือกลายดอกยางแบบไม่สมมาตร ที่ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะถนนในระหว่างเข้าโค้ง โดยจะมีการออกแบบให้พื้นผิวบริเวณหน้ายางสัมผัสด้านนอกจะมีพื้นที่มากกว่าด้านใน ทำให้มีพื้นสัมผัสระหว่างยางกับถนนมากขึ้นในระหว่างเข้าโค้งจึงยึดเกาะถนนได้ดี แต่ด้วยความแข็งของโครงสร้างยางแบบสปอร์ต ทำให้ยางประเภทนี้จะมีเสียงดังขณะขับขี่

ในส่วนของรถครอบครัว PPV และรถออฟโรดที่ถือเป็นรถขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ การเลือกลายดอกยางจึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องกับน้ำหนักของรถที่ต้องบรรทุกแล้ว ยังขึ้นอยู่กับสภาพถนนที่เหมาะสมอีกด้วย ผู้ใช้งานจึงควรตรวจสอบเส้นทางที่ใช้งานเป็นประจำ จากนั้นจึงเรื่องประเภทของยางให้เหมาะกับการใช้งาน โดยเราจะแบ่งดอกยางตามการใช้งานออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

ดอกยาง AT (All terrain) วิ่งนอกถนน 30% วิ่งในถนนทางหลวง 70%
ดอกยาง RT (Rug terrain) วิ่งนอกถนน 50% วิ่งในถนนทางหลวง 50%
ดอกยาง MT (Mud terrain) วิ่งนอกถนน 70% วิ่งในถนนทางหลวง 30%

โดยขนาดของลายดอกยางทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวไปข้างต้นจะไม่เท่ากัน แต่สามารถจำแนกได้ง่าย ๆ ว่า ลายดอกยางขนาดใหญ่และมีลักษณะเป็นแบบบล็อก ๆ จะมีแรงตะกรุยได้ดีมากขึ้น เหมาะกับถนนขรุขระสมบุกสมบันนอกเมืองและรถออฟโรดอย่างมาก แต่จะไม่เหมาะแก่การทำความเร็วบนถนนหลวงเพราะยึดเกาะถนนได้ไม่ดี และพื้นที่สัมผัสระหว่างหน้ายางกับถนนค่อนข้างน้อย ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยโดยตรง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบสภาพถนนที่ใช้งานเป็นประจำก่อนเลือกซื้อยางรถยนต์

S = 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

T = 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

U = 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

H = 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

VR = > 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

V = 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

W = 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Y = 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ZR = > 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีการผลิตยางมีการพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถวางจำหน่ายยางรุ่นประหยัดน้ำมันได้ ซึ่งจะถือว่าช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงได้ โดยเฉพาะรถบรรทุกสินค้าในเชิงพาณิชย์ ที่นอกจากจะต้องทำความเร็วในการขนถ่ายสินค้าแล้ว การประหยัดน้ำมันก็ช่วยลดต้นทุนในธุรกิจได้เช่นกัน และถ้าหากต้องการใช้ยางประเภทนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรดูแลเรื่องของลมยางด้วย เพราะถือว่าสำคัญอย่างมากสำหรับรถขนส่งสินค้า ถ้าหากมีการเติมลมยางน้อยเกินไปจนไม่สัมพันธ์กับน้ำหนักที่บรรทุก จะเป็นการเพิ่มแรงต้านทานการหมุนของตัวยาง ส่งผลให้มีการใช้พลังงานเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ ทั้งยังทำให้ยางสึกไวกว่าปกติอีกด้วย ดังนั้นการใช้งานยางประหยัดน้ำมันจึงจำเป็นต้องหมั่นเช็คลมยางให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ

ค่า Treadwear คือ ตัวเลขที่แสดงค่าการสึกหรอของยางรถยนต์ เป็นชุดตัวเลขที่ระบุอยู่บริเวณแก้มยาง มีผลต่อความแข็งหรือนิ่มของเนื้อยาง โดยถ้ามีค่าสูงแปลว่ายางเส้นนั้นมีอัตราการสึกหรอต่ำ และยังมีผลต่อความสามารถในการยึดเกาะถนนด้วย เช่น หากยางมีค่า Treadwear มาก หมายถึง อัตราการสึกหรอต่ำก็จะทำให้ยางเส้นนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าแต่ก็จะยึดเกาะถนนได้น้อยกว่า โดยค่า Treadwear ที่ได้รับจากการทดสอบจะมีการกำหนดตั้งแต่ 60 - 800 ซึ่งยางรถยนต์สำหรับใช้งานทั่วไปสามารถเลือกยางเส้นที่มีค่า Treadwear 200 - 300 ได้ เพราะถือเป็นตัวเลขที่ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป แต่ถ้าหากมีการใช้งานในเชิงพาณิชย์หรือใช้งานเยอะ ต้องการยางที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ทนทานสูง ก็สามารถเลือกใช้ยางที่มีค่า Treadwear ระดับ 400 ขึ้นไปได้ โดยอย่าลืมพิจารณาเรื่องความสามารถในการยึดเกาะถนนของยางเส้นนั้น ๆ ด้วย