10 ปั๊มลมไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 มีทั้ง 12V และ 220V ขนาดเล็ก พกพาได้

การซื้อปั๊มลมไฟฟ้าสำหรับไว้ใช้ในรถกับใช้ในบ้านมีความแตกต่างกันค่ะ อย่างแรกคือระบบไฟฟ้า เพราะระบบไฟฟ้าในรถยนต์เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ขณะที่ไฟฟ้าในบ้านเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่สำคัญ ค่าแรงดันไฟฟ้ายังต่างกันมากอีกด้วย ดังนั้น การเลือกปั๊มลมไฟฟ้าเพื่อใช้งานในแต่ละที่จึงต้องให้ความสำคัญกับสเปกที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในการใช้งาน

 
นอกจากนี้ ประเภทหรือขนาดของอุปกรณ์ที่ต้องการเติมลมก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพราะเราต้องใช้ข้อมูลนี้ในการพิจารณาค่าแรงดันลมสูงสุดว่า ครอบคลุมการใช้งานหรือไม่ และจ่ายลมที่อัตรากี่ลิตรต่อนาที ซึ่งหมายถึงความเร็วในการเติมลมค่ะ หากเครื่องปั๊มลมตัวเล็กเกินไป ปริมาณลมต่อนาทีต่ำ แรงดันลมน้อย แต่ต้องใช้เติมลมยางรถยนต์ขนาดใหญ่ก็จะทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ หรือเติมลมได้ช้ามาก ๆ

 
ทั้งนี้ ลมยางรถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่จะเติมลมอยู่ที่ 33 – 36 psi ส่วนยางรถยนต์ทั่วไปจะเติมลมได้ประมาณ 30 – 40 psi ขณะที่ลูกบอล, ห่วงยางแฟนซี, ลูกโป่ง หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมหรือศึกษาจากคู่มือของอุปกรณ์นั้น ๆ ร่วมด้วย ดังนั้น หากจะเลือกซื้อปั๊มลมไฟฟ้าก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับระบบไฟฟ้าและแรงดันลมที่เหมาะสมกับการใช้งานด้วยนะคะ

ปั๊มลมไฟฟ้ามีหน่วยวัดความดันที่แตกต่างกันไป โดยมากแล้วนิยมใช้อยู่ 4 แบบ คือ 1) psi หรือ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (pound per square inch) เป็นหน่วยวัดที่นิยมใช้ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา มักใช้วัดแรงดันของยางรถยนต์ 2) หน่วยวัดที่เรียกว่า kPa หรือ กิโลปาสคาล (kiloPascal) 3) หน่วยวัด kg/cm2 หรือ แรงดันกิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร และ 4) bar ซึ่งเป็นหน่วยวัดความดันที่นิยมใช้ในสหภาพยุโรป

ซึ่งหน่วยวัดความดันทั้ง 4 แบบนั้นสามารถเทียบเคียงกันได้โดยที่ 1 psi = 0.0700 kg/cm2 = 6.895 kPa = 0.0690 bar ตัวเลขเหล่านี้เป็นประโยชน์ในกรณีที่เราเลือกซื้อปั๊มลมซึ่งใช้หน่วยวัดคนละแบบกับการใช้งาน แต่ในปัจจุบันปั๊มลมหลายยี่ห้อก็สามารถปรับค่าหน่วยวัดได้ทั้ง 4 แบบ เพื่อความสะดวกในการใช้งานแล้วค่ะ

และเมื่อทราบรายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยวัดกันแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อก็คือ ปั๊มลมนั้นมีแรงดันลมสูงสุดอยู่ที่เท่าไร ครอบคลุมการใช้งานของเราหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ปั๊มลมไฟฟ้ามักมีแรงดันลมสูงสุดอยู่ที่ 100 psi หรือ 150 psi ซึ่งถือว่าครอบคลุมการใช้งานพอสมควร นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาปริมาณลมที่ปล่อยออกมาซึ่งมีหน่วยวัดเป็นลิตรต่อวินาทีเพราะมีผลต่อความเร็วในการปั๊มลมด้วยค่ะ 

นอกเหนือจากระบบไฟฟ้าและแรงดันลมแล้ว ลักษณะของตัวปั๊มและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาประกอบเช่นกัน โดยในส่วนของตัวปั๊มลมไฟฟ้าควรผลิตจากวัสดุที่ทนทาน เช่น พลาสติก ABS หรือโลหะ น้ำหนักไม่มากเกินไป มีสายไฟฟ้าหรือสายจ่ายลมที่ยาวมากพอ หากเป็นปั๊มลมไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ก็ควรมีความจุไฟฟ้าที่ใช้งานได้นานพอสมควรค่ะ

นอกจากนี้ ยังควรมีหัวเติมลมที่หลากหลายเหมาะแก่การใช้งานในลักษณะต่าง ๆ มีความแข็งแรงทนทานพอสมควร ในส่วนของการแสดงผลต้องมีหน้าจอที่ชัดเจนโดยจะเป็นระบบดิจิทัลหรือเป็นแบบเข็มวัดแรงดันลมก็ได้ รวมถึงมีอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น อะแดปเตอร์ ไฟฉาย การรับประกันสินค้าอย่างน้อย 7 วัน เป็นต้น

การเลือกซื้อปั๊มลมไฟฟ้าสำหรับรถยนต์นั้น สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันอีกเรื่องหนึ่งคือ ระบบจ่ายไฟ ซึ่งมีคำศัพท์เกี่ยวกับไฟฟ้าเล็กน้อยนะคะ คือ คำว่า “โวลต์ (V)” เป็นหน่วยวัดแรงดันไฟฟ้า ขณะที่ “แอมป์ (A)” หมายถึง ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า และสุดท้ายคือ “วัตต์ (W)” หน่วยวัดพลังงานไฟฟ้าที่เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นใช้ในการทำงาน กล่าวคือ อุปกรณ์นั้น “กินไฟ” แค่ไหนค่ะ

 
ซึ่งปั๊มลมไฟฟ้าสำหรับใช้ในรถนั้นต้องต่อพ่วงเข้ากับช่องจุดบุหรี่ในรถยนต์ซึ่งมีฟิวส์ที่ 15A แรงดันไฟฟ้า 12V รองรับกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 180W และเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ดังนั้น สเปกของปั๊มลมไฟฟ้ากลุ่มนี้มักมีรายละเอียดเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าเป็น “DC 12V” ส่วนปั๊มลมไฟฟ้าที่ใช้ไฟบ้านเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) มีค่าแรงดันไฟฟ้าประมาณ 220V มักระบุรายละเอียด เป็น “AC 220V - 230V” ดังนั้น ถ้าเลือกซื้อปั๊มลมไฟ้าสำหรับต่อพ่วงกับไฟรถยนต์ ให้มองหาคำว่า “DC 12V” นะคะ