20 อันดับ หนังไซไฟ น่าดู ปี 2024 ครบรส ทั้งแอ็กชัน แฟนตาซี โลกอนาคต

เรื่องราวของอดัมนักเดินทางข้ามเวลาจากปี 2050 ที่ย้อนเวลากลับมาทำภารกิจเสี่ยงอันตรายในการตามหาลอรา ผู้ซึ่งเป็นภรรยาได้หายตัวไป แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันถูกกลุ่มคนปริศนาตามไล่ล่า จึงทำให้การเดินทางข้ามเวลาผิดพลาด แทนที่จะวาร์ปไปในปี 2018 แต่กลับกลายเป็นว่ายานได้เดินทางข้ามเวลามาในปี 2022 แทน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อดัมต้องกลับมาที่บ้านของตัวเองและพบกับอดัมในวัยเด็กอีกครั้ง ทั้งสองจึงต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้เป็นปกติ ใครที่ชอบหนังแนวข้ามเวลาที่เนื้อหากลมกล่อม ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ค่ะ

Dune เป็นหนังไซไฟปรัชญาสุดล้ำที่อัดแน่นเนื้อหาเข้มข้นทางการเมือง ศาสนาและฉากงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากนิยายไซไฟระดับตำนานจาก Frank Herbert ในปี 1965 เรื่องราวเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับบุตรชายแห่งตระกูลอาทรีเดสที่ต้องออกเดินทางตามผู้เป็นพ่อไปยังดาวอาร์ราคิสที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทราย เพื่อค้นหาทรัพยากรล้ำค่าอย่าง Spice ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในจักรวาล โดยเนื้อหาในเรื่องอาจมีการเล่าสลับอดีตและปัจจุบัน ทำให้เนื้อหาค่อนข้างมีความซับซ้อนทีเดียว

Don’t Look Up ว่าด้วยเรื่องของสองนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบดาวหางขนาดมหึมาที่กำลังเข้าพุ่งชนโลก เป็นสาเหตุที่ทำให้ถึงจุดจบของมนุษยชาติ แต่ผู้นำกลับไม่สนใจ และพยายามที่จะให้ทุกคนไม่เชื่อในเรื่องนี้ ตัวหนังเต็มไปด้วยการจิกกัดเสียดสีทางการเมืองและมุกตลกร้ายแบบอเมริกัน นอกจากนี้ก็ยังมีการสอดแทรกเรื่อง Climate Change ทำให้เนื้อหาดูไม่อัดแน่นไซไฟจนเกินไปและยังมีการเล่าเรื่องได้น่าสนใจ ที่สำคัญเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วยนักแสดงระดับ AAA ที่รับรองว่าสนุกอย่างแน่นอน 

หนังเรื่องนี้ได้มีการกล่าวถึงความเป็นไปได้ในอนาคตที่ว่าด้วยเรื่องของมนุษยชาติที่อาจมีการย้ายถิ่นฐานตั้งรกรากบนอาณานิคมของดวงจันทร์ ซึ่งตัวหนังมีการเล่าเรื่องของการเดินทางของนักบินอวกาศที่ต้องปฏิบัติภารกิจเดินทางข้ามระบบสุริยจักรวาล โดยมีจุดประสงค์ในการตามหาพ่อที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งสาเหตุก็ยังเกี่ยวข้องกับปริศนาลึกลับที่หาคำตอบไม่ได้ และรวมไปถึงความลับที่กำลังคุกคามมนุษยชาติบนโลกด้วย นอกจากนี้ตัวหนังก็ยังมีมิติภาพยนตร์แบบอวกาศอย่างสมจริง

Love And Monsters เป็นหนังสัตว์ประหลาดที่กล่าวถึงวันสิ้นโลกหลังจากสัตว์ประหลาดบุกยึดโลกถึง 7 ปีจนทำให้ประชากรที่เหลือจะต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในใต้ดิน ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คงเป็นเนื้อเรื่องที่เล่าถึงการเอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาดที่แฝงไปด้วยความแอ็กชันและผจญภัยของตัวเอกภายในเรื่องจากที่ไม่มีสกิลเอาตัวรอด เขาค่อย ๆ เรียนรู้การเอาตัวรอดในแต่ละครั้ง ทำให้ผู้ชมต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยว่าจะรอดหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีดราม่าเล็ก ๆ สอดแทรก ทำให้เป็นอีกเรื่องที่ครบรสค่ะ

เรื่องราวของเด็กทั้งสี่คนที่มีการใช้ชีวิตต่างกันแบบสุดขั้ว ได้แก่ อเล็กซ์ เด็กเนิร์ดที่ชอบเก็บตัว กาเบรียล เด็กมีปัญหาที่หลบหนีจากสถานพินิจ ดาริอุส เด็กที่เป็นเหมือนตัวตลกของทุกคนและ เซิน เซิน เด็กกำพร้าผู้หญิง โดยพวกเขาได้มารวมตัวกันที่แคมป์กลางป่าด้วยความบังเอิญ และในขณะเดียวกันก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อเอเลี่ยนโจมตีบุกโลก ทำให้เครื่องมือสื่อสารใช้ไม่ได้ จึงเกิดความจำเป็นทำให้พวกเด็ก ๆ ต้องร่วมมือกันหาทางออก เพื่อเอาตัวรอดและช่วยกอบกู้โลกจากเอเลี่ยนให้ได้

หนังไซไฟแบบเอาตัวรอดสัญชาติฝรั่งเศสเรื่องนี้ได้กระแสตอบรับจากผู้ชมค่อนข้างดีทีเดียว หนังว่าด้วยเรื่องของอลิซที่ตื่นขึ้นมาด้วยสาเหตุบางอย่างภายในแคปซูลทางการแพทย์ พร้อมกับความสับสนและไม่สามารถจำอะไรได้ รวมไปถึงสาเหตุที่เข้ามาอยู่ในแคปซูลนี้ด้วย ซึ่งแคปซูลนี้ควบคุมด้วยระบบ AI ที่ชื่อว่า มิโล อันเป็นหนทางเดียวที่เธอพูดคุยสื่อสารได้ และสิ่งแรกที่เธอรับรู้ก็คือ ระบบออกซิเจนในแคปซูลนี้ใกล้จะหมดแล้วภายในเวลา 90 นาที ซึ่งอลิซจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ สามารถติดตามได้ใน Netflix เท่านั้นค่ะ

ใครที่เป็นคอเกมคลาสสิกยุค 80s จะต้องชอบเรื่องนี้และด้วยประโยคที่คุ้นเคยอย่าง Ready Player One ก็ทำให้หลาย ๆ คนนึกถึงช่วงเวลาเก่า ๆ อย่างแน่นอน เนื้อหาของหนังว่าด้วยเรื่องของโลกยุคอนาคตปี 2045 ที่โลกความจริงเสื่อมโทรมจนทำให้หลาย ๆ คนหันไปใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ (โอเอซิส) ซึ่งภายในโอเอซิสได้มีการซ่อนสมบัติมูลค่ามหาศาลผ่าน Easter Eggs ในเกม พร้อมมอบให้แก่ใครก็ตามที่เป็นผู้พิชิตได้สำเร็จ และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่ต้องออกตามหาสิ่งที่ซ่อนไว้ภายในโอเอซิส

Annihilation เป็นหนังไซไฟที่มีภาพสวยตระการตา แต่ชวนสยอง ซึ่งตัวหนังจะพาเราเข้าสู่บรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวของป่าอันลึกลับ ที่ถูกปกคลุมไปม่านรุ้ง จนเป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูน่าสยดสยองและอันตราย ซึ่งตัวหนังมีการใช้ทฤษฎีว่าด้วยเรื่องของเซลล์และการก่อเกิดชีวิตแรกในจักรวาล ตลอดจนการกลายพันธุ์ของเซลล์ การเกิดเซลล์มะเร็ง และการทำลายตัวเองของสิ่งมีชีวิต ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชวนติดตามและยังเป็นแนวไซไฟแบบปรัชญาด้วย

Arrival เป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ Story of Your Life เขียนโดย Ted Chiang โดยเหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมียานบินลึกลับจากนอกโลก 12 ลำมาเยือนโลก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐ ฯ นั้นพยายามติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวเพื่อหาคำตอบว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม ตัวหนังอาจมีการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า แต่ว่ามีการเล่ารายละเอียดอย่างน่าสนใจ โดยมีการอ้างอิงทฤษฎีด้านภาษาศาสตร์ เพื่อตีแผ่มุมมองด้านภาษาซึ่งมีผลต่อมุมมองทางความคิด นอกจากนี้ยังเป็นหนังที่แฝงแนวปรัชญาชีวิตได้ดีมาก ๆ

หนังแนวย้อนเวลาสัญชาติสเปน ที่กล่าวถึงเรื่องราวของ เบร่า หญิงสาวที่บังเอิญช่วยชีวิตเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ นิโก้ ผู้เสียชีวิตเมื่อ 25 ปีก่อนในค่ำคืนที่เกิดพายุไฟฟ้า แต่แล้วเรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อวันต่อมาเบร่ากลับพบว่าตัวเองอยู่ในโลกที่ลูกสาวของเธอไม่มีตัวตนอีกต่อไป ซึ่งเนื้อเรื่องมีการผูกปมที่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร ดังนั้นถ้าติดตามเนื้อเรื่องไม่ดีก็อาจจะทำให้สับสนได้ง่าย ๆ และทุก Scene ของหนังมีความสำคัญมาก ๆ ใครที่ชอบแนวย้อนเวลาและการแก้ปมปริศนาจะต้องถูกใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน

หนังไซไฟแบบครบรสทั้ง Drama การเดินทางข้ามเวลาและวันสิ้นโลก เรื่องนี้ได้บอกเล่าเกี่ยวกับโลกในยุคที่แห้งแล้ง ขาดแคลนอาหารและเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อันตราย ทำให้นาซาต้องเตรียมอพยพผู้คนเพื่อไปยังดาวดวงใหม่ จึงทำให้ต้องทำโปรเจกต์ลับขึ้นมาในการค้นหาดวงดาวที่เหมาะสม โดยตัวหนังจะมีการอ้างอิงผ่านหลักการวิทยาศาสตร์และทฤษฎีฟิสิกส์ต่าง ๆ ซึ่งใครที่เป็นคอไซไฟจะต้องชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ อีกทั้งยังเป็นไซไฟที่มีดราม่าเข้มข้นมาก ๆ ด้วยเช่นกัน

The Martian เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากภารกิจมุ่งสู่ดาวอังคารเพื่อสำรวจ แต่แล้วก็ได้เกิดเหตุบางอย่างขึ้น จนทำให้คนที่อยู่บนโลกคิดว่า มาร์ แวทนีย์ (นักสำรวจ) ได้ตายไปแล้ว แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา ทำให้พบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงตาย เขาจึงต้องใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อเอาชีวิตรอด และพยายามติดต่อมายังบนโลก เพื่อให้โลกได้รับรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ พร้อมกับเริ่มภารกิจให้ความช่วยเหลือที่จะทำให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย เนื้อเรื่องจะมีโทนคล้าย ๆ กับ Cast Away แต่มาในเวอร์ชันแบบอวกาศค่ะ

เรื่องราวของโปรแกรมเมอร์หนุ่ม Caleb ที่ได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการลับทดสอบ AI กับ Nathan CEO ยอดอัจฉริยะของบริษัท Bluebook โดย Caleb ได้ถูกมอบหมายให้ไปสนทนากับหุ่นยนต์ AI สาวทุกวันเป็นเวลา 7 วัน เพื่อเป็นการทดสอบว่าหุ่นยนต์นั้นได้เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากน้อยแค่ไหน หนังเป็นแนวไซไฟที่อาจจะไม่ใช่แนววิชวลตระการตา แต่เป็นหนังที่แฝงด้วย Gender Issues คือ สังคมปิตุลาธิปไตย หรือสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่เหนือกว่าผู้หญิง และยังแฝงไปด้วยแนวคิดอันล้ำลึกที่ชวนให้คิดตาม

Inception ว่าด้วยเรื่องของจิตใต้สำนึกและความฝัน เมื่อกลุ่มจารกรรมด้านความฝันได้วางแผนที่จะทำการฝังความคิดผ่านจิตใต้สำนึกแทน ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการสุดล้ำที่นำไปสู่การวางแผนซ้อนแผนที่เสี่ยงชีวิตของทุกคนด้วย โดยเรื่องนี้ยังถือว่าเป็นหนังไซไฟสุดล้ำตลอดกาลของใครหลาย ๆ คนและขึ้นชื่อเรื่องความเข้าใจยากของเนื้อเรื่อง นอกจากนี้ในเรื่องยังมีการอ้างถึงเรื่องทฤษฎีของเวลาพร้อมกับฉากแอ็กชันสุดมัน และ CG ที่ตระการตา โดยเฉพาะฉากในความฝัน อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วยนักแสดงมากฝีมือคับคั่งเลยทีเดียว

ฉากอวกาศในเรื่อง Gravity ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้สมจริงมาก ๆ ทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในอวกาศจริง ๆ ใครที่เป็นแฟนหนังไซไฟแนวอวกาศ เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรเก็บไว้ในลิสต์เช่นกันค่ะ ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะอยู่ที่การถ่ายทำแบบ Long Take เนื้อเรื่องมีการดำเนินการผ่านตัวละครหลักเพียงตัวเดียว พร้อมแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของอวกาศที่เวิ้งว้างและแรงโน้มถ่วงที่พร้อมพรากชีวิตได้ทุกเมื่อ ! ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัลมากมายในปี พ.ศ. 2556 ด้วย

เรื่องราวของโลกที่ถูกรุกรานโดยมนุษย์ต่างดาวเผ่า Formics ที่ครั้งหนึ่งทำให้มนุษย์โลกเกือบสูญสิ้น กองทัพจึงก่อตั้งกองกำลังพิเศษที่รวบรวมเด็กที่มีความสามารถในการเล่นเกมมาฝึกฝนและช่วยทำสงครามกับ Formics เมื่อครอบครัว Wiggin ที่เคยมีสมาชิกในบ้านได้เคยอยู่ในกองกำลังพิเศษนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครที่สามารถผ่านข้อจำกัดได้ จึงทำให้ความหวังตกมาอยู่ที่ Ender สมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดของบ้าน โดย Ender จะต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

 In Time เป็นหนังแนวไซไฟ ทริลเลอร์ ที่มีการนำเอาเรื่อง เวลา มาเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่อง ซึ่งถ้าเวลาหมด นั่นก็หมายถึง ชีวิตก็หมดลงด้วย ! ตัวหนังนอกจากจะมีแนวคิดที่น่าสนใจแล้ว ยังมีการสะท้อนถึงเรื่องสถานะของสังคม ความแตกต่างระหว่างชนชั้นคนจนและคนรวย รวมไปถึงมีการจิกกัดเรื่องชนชั้นวรรณะในสังคมปัจจุบันด้วย ซึ่งตัวหนังยังสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง พร้อมกับเรื่องของการฉกฉวยโอกาสของคนชนชั้นสูงจากคนชนชั้นล่าง

สำหรับ Chappie เป็นหนังไซไฟเกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมาให้มีความสมบูรณ์แบบในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่แล้ววันหนึ่ง Chappie ได้ถูกโจรขโมยไป และถูกบรรจุโปรแกรมชนิดใหม่เข้าไป ทำให้ Chappie กลายเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกที่สามารถ “คิดวิเคราะห์” และ “รู้สึก” ได้อย่างมนุษย์ ซึ่งเหล่าหุ่นยนต์ตัวร้ายกลับเห็น Chappie เป็นจุดอ่อนและเป็นอันตรายจึงต้องการที่กำจัดเพื่อคงความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ไว้ ตัวหนังมีทั้งความซึ้งและฉากมัน ๆ ที่น่าติดตามตลอดเรื่องเลยค่ะ

เมื่อกล่าวถึงหนังไซไฟจะต้องมีชื่อของหนังไซไฟระดับตำนานและคลาสสิกอย่าง 2001 A Space Odyssey อยู่แน่นอน เพราะเรื่องนี้เป็นหนังไซไฟงานเขียนของ อาเธอร์ ซี.คลาร์ก ที่เป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ของโลกและมีผู้กำกับอย่างเจ้าพ่อซิมโบลิกของวงการภาพยนต์อย่างสแตนลีย์ คูบริก ร่วมผลิตด้วย ทำให้เนื้อเรื่องต้องมีความสัญลักษณ์อยู่แทบตลอดเวลา ซึ่งเรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่าและเป็น Hard Sci-Fi ที่ไม่ล้าสมัยเลยค่ะ