10 เครื่องอบผ้า ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ผ้าแห้งไว ไร้กลิ่นอับ

เครื่องอบผ้ามีระบบการทำงานให้เลือกอยู่ 3 ระบบ คือ ระบบปั๊มความร้อน ระบบควบแน่นไอน้ำ และระบบลมร้อน ซึ่งต่างก็มีจุดเด่น ข้อจำกัด และความเหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกัน ดังนี้ 

สำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดและต้องการความสะดวกในการจัดเก็บหรือการพกพา ควรเลือกเครื่องอบผ้าแบบพับได้ ซึ่งตัวเครื่องถูกออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัดเพียง 62 x 29 x 124 cm มาพร้อมตะขอเกี่ยวด้านบนและถุงกักเก็บความร้อนขนาด 62 x 124 cm ใช้งานโดยการแขวนตัวเครื่องไว้กับราวผ้า และต่อถุงเก็บความร้อนเข้ากับเครื่องในแนวตั้ง จากนั้นนำผ้าที่ต้องการอบเข้ามาแขวนไว้ในถุง ปิดซิปให้แน่น และกดปุ่มเริ่มทำงาน เท่านี้เครื่องก็จะเริ่มเป่าลมร้อนเพื่อหมุนเวียนอากาศและเร่งการระเหยความชื้น ทำให้ผ้าแห้งได้โดยไม่เปลืองพื้นที่ใช้สอยมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม เครื่องอบผ้ารูปแบบนี้อาจใช้เวลาอบนานกว่าเครื่องอบผ้าทั่วไป และรองรับปริมาณการอบได้ค่อนข้างจำกัด โดยอบได้เพียง 3 - 4 ตัวต่อครั้ง จึงเหมาะกับการใช้งานเบา ๆ หรือผู้ที่เน้นความสะดวกในการพกพาและจัดเก็บเป็นหลัก

กำลังไฟของเครื่องอบผ้ามีผลโดยตรงต่อความเร็วในการอบ ระดับความร้อนที่เครื่องสามารถสร้างได้ รวมถึงปริมาณผ้าที่รองรับในแต่ละครั้ง ซึ่งควรพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน ดังนี้ 

• กำลังไฟต่ำกว่า 1,000 W มักพบได้ในเครื่องอบผ้าขนาดเล็กหรือเครื่องอบผ้าแบบพับได้ ซึ่งเหมาะกับการอบผ้าปริมาณน้อย 5 - 6 ชุดต่อครั้ง หรือการอบผ้าเนื้อบาง เช่น ผ้าชีฟอง และผ้าลูกไม้
• กำลังไฟ 1,000 - 2,000 W เป็นช่วงกำลังไฟปานกลางที่สร้างความร้อนได้รวดเร็วและเพียงพอสำหรับการอบผ้าประมาณ 10 - 15 ชุดต่อครั้ง โดยรองรับการใช้งานได้กับทั้งผ้าเนื้อบาง ผ้าทั่วไป จนถึงผ้าเนื้อหนาปานกลาง

• กำลังไฟ 2,000 W ขึ้นไป เป็นกำลังไฟที่สร้างความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผ้าปริมาณมากแห้งได้รวดเร็วโดยไม่สิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป เหมาะกับการอบผ้ามากกว่า 15 ตัวต่อครั้ง หรือการอบผ้าที่มีเนื้อหนาถึงหนามาก 

เพื่อให้การติดตั้งและการใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น ควรตรวจสอบขนาดตัวเครื่องอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าติดตั้งเข้ากับพื้นที่ได้จริง โดยทั่วไปเครื่องอบผ้าจะมีขนาดใหญ่ประมาณ 80 × 55 × 59 cm ซึ่งการติดตั้งควรเผื่อพื้นที่ด้านข้างและด้านหน้าไว้อย่างน้อย 30 cm นอกจากนี้ ควรตรวจสอบความจุถังอบให้สอดคล้องกับปริมาณผ้าที่ใช้งานด้วย ดังนี้ 

• ความจุ 5 - 7 kg เหมาะสำหรับการใช้งานคนเดียวหรือครอบครัวขนาดเล็กที่มีสมาชิก 2 - 4 คน โดยความจุระดับนี้รองรับการอบเสื้อผ้าได้ประมาณ 10 - 15 ตัวต่อครั้ง 

• ความจุ 8 - 9 kg เหมาะกับครอบครัวขนาดกลางที่มีสมาชิก 4 - 6 คน โดยความจุระดับนี้จะอบผ้าได้ประมาณ 15 - 20 ตัวต่อครั้ง ทั้งยังรองรับการอบผ้านวม ผ้าห่มทั่วไป และผ้าที่มีความหนาหรือผืนใหญ่ได้อีกด้วย  

• ความจุ 10 - 12 kg เหมาะกับครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิก 6 คนขึ้นไป หรือการใช้งานเชิงพาณิชย์ที่ต้องการอบผ้าปริมาณมาก โดยความจุในช่วงนี้อบเสื้อผ้าได้ประมาณ 20 - 40 ตัวต่อครั้ง และอบผ้านวมผืนใหญ่พร้อมกันได้ประมาณ 2 - 3 ผืน

การเลือกเครื่องอบผ้าราคาประหยัดที่มีเทคโนโลยีหรือฟังก์ชันเสริมที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มความสะดวก ประหยัดเวลา และถนอมเนื้อผ้าได้ดียิ่งขึ้น โดยมีเทคโนโลยีและฟังก์ชันที่น่าสนใจอยู่หลายด้าน ดังนี้

• ระบบตรวจวัดความชื้นและอุณหภูมิ ช่วยให้เครื่องอบผ้าประเมินระดับความชื้นของผ้าและควบคุมอุณหภูมิภายในถังอบเองได้อย่างแม่นยำ เพื่อป้องกันเส้นใยผ้าเกิดความเสียหายจากความร้อนที่สูงเกินไป 

• เทคโนโลยี Anti-Crease ช่วยลดรอยยับหลังการอบผ้า โดยเครื่องจะหมุนถังสลับทิศทางทั้งตามและทวนเข็มนาฬิกาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผ้าไม่จับเป็นก้อนหรือพันกันจนเกิดรอยยับลึก ซึ่งช่วยลดเวลาในการรีดผ้าได้เป็นอย่างดี

• โปรแกรม Allergy Care ช่วยลดสารก่อภูมิแพ้บนเสื้อผ้า เช่น ไรฝุ่น แบคทีเรีย หรือเกสรต่าง ๆ โดยใช้ความร้อนคงที่ระดับที่เหมาะสมต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง เพื่อช่วยให้ผ้าสะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

• โปรแกรมอบผ้าอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกโหมดการอบได้ตามประเภทผ้า เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าขนหนู หรือโหมดถนอมผ้า โดยเครื่องจะปรับระดับความร้อนและระยะเวลาการอบให้เหมาะสมกับเนื้อผ้าแต่ละชนิดแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่ผ้าจะหดตัวหรือเสียรูปทรงจากการใช้ความร้อนไม่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ