10 กีตาร์เบส ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 รวม Bass Guitar

การเลือกประเภทกีต้าร์เบสและจำนวนสาย ควรพิจารณาตามระดับความชำนาญของผู้เล่น ซึ่งเลือกให้เหมาะสมกับระดับผู้เล่นได้ดังต่อไปนี้

ความยาวสเกลและจำนวนเฟรตของกีตาร์เบสมีผลต่อทั้งความถนัดและโทนเสียง โดยกีตาร์เบสที่มีสเกลสั้นราว 30 นิ้ว จะกดสายง่ายเพราะความตึงต่ำ ให้โทนเสียงนุ่ม อุ่น และเหมาะกับผู้เล่นมือเล็กหรือการเล่นเมโลดี้ที่ต้องการความลื่นไหล ส่วนสเกลมาตรฐาน 34 นิ้วเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะให้สมดุลระหว่างความสบายมือและความชัดเจนของเสียง ใช้งานได้หลากหลายแนวเพลง ขณะที่สเกลยาว 35 นิ้วขึ้นไป จะเพิ่มแรงตึงของสาย โดยเฉพาะสายเสียงต่ำ B ทำให้เสียงทุ้มคมชัด หนักแน่น และทรงพลัง เหมาะกับแนวร็อกหรือเมทัล

สำหรับจำนวนเฟรต เบส 20 - 21 เฟรต จะให้โทนเสียงวินเทจ ซึ่งเหมาะกับการเล่นที่เน้นจังหวะและสร้างกรูฟให้กับวง แต่ถ้าต้องการโน้ตเสียงสูงเพื่อเล่นโซโล่หรือเมโลดี้ที่ซับซ้อน ควรเลือกเบสที่มี 22–24 เฟรต เพราะจะช่วยให้เข้าถึงย่านเสียงได้กว้างขึ้น และรองรับการเล่นที่มีเทคนิคหลากหลายได้มากขึ้น

การเลือกวัสดุของฟิงเกอร์บอร์ดและคอมีผลต่อทั้งความทนทานและโทนเสียงของกีตาร์เบส เพราะไม้แต่ละชนิดมีคาแรกเตอร์เสียงและสัมผัสที่ต่างกัน ดังนี้

1. โรสวู้ด (Rosewood) วัสดุฟิงเกอร์บอร์ดที่มีความทนทานต่อการใช้งานในระยะยาว ให้โทนเสียงนุ่ม อบอุ่น และมีสัมผัสที่สบายมือ จึงเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ครอบคลุมหลายแนวเพลง

2. เมเปิล (Maple) วัสดุฟิงเกอร์บอร์ดที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านความแข็งแรงและทนทาน ให้โทนเสียงคมชัด สว่าง และตอบสนองได้รวดเร็ว จึงเหมาะสำหรับแนวเพลงที่ต้องการเสียงเด้งชัดเจน และความแม่นยำของโน้ต

3. อีโบนี (Ebony) วัสดุฟิงเกอร์บอร์ดที่มีความแข็งมาก ให้โทนเสียงกระชับ ตอบสนองรวดเร็ว และควบคุมเสียงได้อย่างแม่นยำ จึงเหมาะสำหรับการเล่นที่ต้องการเทคนิคชัดเจนและความนิ่งของโทนเสียง

4. มะฮอกกานี (Mahogany) วัสดุคอเบสที่มีความแข็งแรงและทนทานสูง ให้โทนเสียงหนา อบอุ่น และมีความกังวานในตัว จึงเหมาะอย่างยิ่งกับแนวเพลงแจ๊สและบลูส์

5. วอลนัท (Walnut) นิยมนำมาใช้ทำคอเบส เพราะมีความแข็งแรงและน้ำหนักพอเหมาะ ให้โทนเสียงกลางลึกและแน่น จึงให้สมดุลระหว่างเสียงคมและนุ่มได้ดี เหมาะกับเล่นหลากหลายสไตล์เพลง

การเลือกรูปทรงคอที่เหมาะสมกับสรีระมือมีผลอย่างมากต่อความสบายและความถนัดในการเล่น เนื่องจากคอเบสแต่ละแบบถูกออกแบบมาให้รองรับสไตล์การเล่นและขนาดมือที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. C-Shape โค้งมนพอดีกับสรีระมือ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการความสบายมือ
2. U-Shape หนาและโค้งเพียงเล็กน้อย ให้สัมผัสเต็มมือ ทำให้จับแล้วรู้สึกมั่นคง เหมาะสำหรับผู้ที่มีมือใหญ่หรือชอบการเล่นที่ต้องใช้พลังและแรงกด
3. V-Shape มีสันเล็กน้อยบริเวณกลางคอ ซึ่งทำให้ปลายนิ้วและนิ้วโป้งวางและเปลี่ยนตำแหน่งได้สะดวก จึงเหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น การเล่นโซโล่หรือมีท่อนที่ต้องเคลื่อนมือบ่อย ๆ
4. Slim / Tapered Neck บางกว่าแบบอื่น ทำให้จับง่ายและเคลื่อนไหวมือได้เร็ว จึงเหมาะกับผู้เล่นที่มีมือเล็ก หรือเล่นเทคนิคที่ใช้ความไวของนิ้วและไลน์เร็ว

ปิ๊คอัพและระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดโทนเสียงของกีตาร์เบส โดยเบสไฟฟ้าจะมีปิ๊คอัพหลายแบบให้เลือก เช่น Single-Coil ให้โทนเสียงใส คมชัด เหมาะกับฟังก์ แจ๊ส หรือป๊อป, Split-Coil หรือ P-Style ให้เสียงหนา แน่น ทรงพลัง ใช้ได้ดีกับเพลงร็อกหรือเพลงที่ต้องการจังหวะหนักแน่น และ Humbucker ที่ให้โทนอบอุ่น หนา พร้อมลดสัญญาณรบกวน เหมาะกับแนวเมทัลหรือฟิวชัน 

ในส่วนระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะมีทั้งแบบ Passive และ Active ซึ่งแบบ Passive จะให้โทนเสียงที่เป็นธรรมชาติ ควบคุมและใช้ง่าย ขณะที่ Active จะมีปรีแอมป์เพื่อปรับ EQ ได้ละเอียด จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง ทั้งนี้ สำหรับเบสโปร่งล้วนจะไม่มีปิ๊คอัพ เพราะเสียงเกิดจากบอดี้ไม้ จึงเหมาะกับการซ้อมหรือเล่นวงเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเป็นเบสโปร่งไฟฟ้าจะมีปิ๊คอัพ Piezo และ EQ ในตัว ทำให้ขยายเสียงผ่านแอมป์ได้ โดยยังคงรักษาโทนโปร่งธรรมชาติ จึงเหมาะกับทั้งการซ้อมและการแสดงสด