10 ปุ๋ยเร่งดอก ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 รวมสูตรเร่งดอก เร่งผล และเร่งใบ

ปุ๋ยเร่งดอกจะมีสูตรหรือประเภทของสารอาหารอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่ ปุ๋ยเคมี, ปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยทั้ง 3 ลักษณะจะเหมาะกับผู้เพาะปลูกที่มีความต้องการต่างกันออกไป ดังนั้น ก่อนที่จะนำปุ๋ยมาใช้งานควรตรวจสอบให้เหมาะสมด้วย

ธาตุอาหารหลัก (N-P-K) ในปุ๋ยเร่งดอกจะมีค่าที่ต่างกันออกไปในแต่ละยี่ห้อ แต่เพื่อการเร่งให้พืชออกดอกได้ดีควรเลือกปุ๋ยที่มีธาตุฟอสฟอรัส (P) สูงไว้ก่อน เพราะธาตุนี้เป็นธาตุสำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้ต้นพืชออกดอกได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนธาตุอื่น ๆ มีความสำคัญดังนี้

• ไนโตรเจน (N) เป็นธาตุที่มีส่วนสำคัญในการทำให้ใบและลำต้นเติบโต หากต้นพืชได้รับธาตุอาหารนี้มากจนเกินไปจะทำให้เกิดสภาวะพืชแตกใบมากกว่าปกติแต่ดอกจะออกช้า ดังนั้นในปุ๋ยเร่งดอกควรมีธาตุนี้ในระดับต่ำ สูตรแนะนำจะได้แก่สูตร 10-30-20 หรือ 12-24-12

• ฟอสฟอรัส (P) เป็นธาตุอาหารที่มีความสำคัญต่อการออกดอกมากที่สุด หากต้นพืชได้รับธาตุนี้ดอกจะติดดีและเป็นดอกที่มีความแข็งแรง ปุ๋ยเร่งดอกสูตรที่แนะนำจะได้แก่ 10-52-17, 15-30-15 หรือ 0-52-34 ซึ่งเป็นสูตรที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูงมากเป็นพิเศษ

• โพแทสเซียม (K) เป็นธาตุอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยให้ดอกที่ออกมามีความสมบูรณ์ ติดผลง่าย สีของดอกสวย ธาตุโพแทสเซียมจึงควรมีความสมดุลกับธาตุฟอสฟอรัสแต่ควรมีตัวเลขที่น้อยกว่า ปุ๋ยเร่งดอกสูตรที่แนะนำจะเป็นสูตร 12-24-12 หรือ 13-13-21

ปุ๋ยเร่งดอกที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะมีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ ปุ๋ยเม็ด, ปุ๋ยเกล็ด และปุ๋ยน้ำ ลักษณะภายนอกของปุ๋ยจะแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงปุ๋ยทั้ง 3 รูปแบบนี้ยังเหมาะกับการนำมาใช้งานกับต้นพืชที่ต่างกันออกไปดังนี้

• ปุ๋ยเม็ด สำหรับพืชสวนและไม้ผล เช่น มะม่วง, ลำไย, ทุเรียน เป็นต้น ลักษณะภายนอกจะเป็นเม็ดแข็งและจะมีกระบวนการปล่อยสารอาหารออกมาช้า ๆ ทำให้ไม่ต้องใส่ปุ๋ยบ่อย ๆ ปุ๋ยรูปแบบนี้มักพบในปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์ โดยหลังใส่ปุ๋ยควรรดน้ำต้นพืชด้วย

• ปุ๋ยเกล็ด สำหรับไม้ดอกไม้ประดับ เช่น กุหลาบ, ดาวเรือง, มะลิ เป็นต้น ลักษณะภายนอกจะเป็นเกล็ดขนาดเล็ก มีคุณสมบัติในการละลายน้ำ สามารถละลายน้ำแล้วใช้งานในรูปแบบการฉีดพ่นได้ เพียงแต่จะต้องมีการกำหนดสัดส่วนปุ๋ยและน้ำให้เหมาะสม

• ปุ๋ยน้ำ สำหรับพืชที่ต้องเร่งการออกดอกเป็นพิเศษ เช่น ดอกไม้กระถาง เป็นต้น มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน คือสามารถพ่นลงบนดินหรือพ่นใส่ใบของต้นพืชได้ เป็นปุ๋ยที่ใช้งานง่ายและต้นพืชก็ดูดซึมได้เร็ว ข้อสังเกตของปุ๋ยรูปแบบนี้คือจะหมดฤทธิ์ค่อนข้างไว

กระบวนการให้ปุ๋ยแก่ต้นพืชจะมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ แบบให้ทางดินและแบบให้ทางใบ การใช้งานทั้ง 2 วิธีจะส่งผลต่อการออกดอกของต้นพืช ดังนั้นก่อนนำปุ๋ยมาใช้งานแนะนำให้เลือกวิธีการให้ปุ๋ยตามวิธีการดังต่อไปนี้เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน

• ปุ๋ยเร่งดอกแบบใช้ทางดิน สำหรับพืชที่ต้องการการเร่งดอกระยะยาว ปุ๋ยที่ใช้งานในลักษณะนี้ส่วนมากจะเป็นปุ๋ยแบบเม็ด จุดเด่นของการให้ปุ๋ยในวิธีนี้คือสารอาหารจะลงสู่ดินและเข้าไปที่รากโดยตรง ดอกจะออกช้ากว่าการให้ปุ๋ยทางใบแต่จะให้ผลผลิตที่ต่อเนื่องกว่า

• ปุ๋ยเร่งดอกแบบใช้ทางใบ สำหรับพืชที่ต้องการเร่งดอกทันที มักจะเป็นปุ๋ยแบบน้ำหรือปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำ การให้ปุ๋ยในวิธีนี้จะช่วยให้ต้นพืชดูดซึมสารอาหารได้ดี รวมถึงยังไม่สูญเสียอาหารจากดินที่ใช้ปลูก ต้นพืชจะออกดอกเร็วแต่ฤทธิ์ของปุ๋ยจะค่อนข้างสั้น

แม้ว่าปุ๋ยเร่งดอกจะมีการพัฒนามาให้ต้นพืชสามารถออกดอกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ปุ๋ยแต่ละยี่ห้อก็มีเงื่อนไขในการใช้งาน หากใช้ผิดวิธีก็อาจจะทำให้ต้นพืชเกิดความเสียหายได้ การใช้งานปุ๋ยตามเงื่อนไขต่อไปนี้จะช่วยให้ต้นพืชปลอดภัยมากขึ้น

• ใช้ปุ๋ยตามอัตราที่แนะนำ ปกติแล้วปุ๋ยแต่ละยี่ห้อจะมีการระบุว่าควรใช้งานปุ๋ยในระดับไหนเพื่อที่ต้นพืชจะได้รับสารอาหารได้อย่างเพียงพอ คุณไม่ควรให้ปุ๋ยมากเกินไปเพราะอาจทำให้ดอกร่วงหรือใบไหม้ได้ และอาจจะทำให้ต้นพืชเสียหายในระยะยาวด้วย

• ควรเลือกปุ๋ยที่ไม่เป็นอันตรายต่อดินและสิ่งแวดล้อม การใช้ปุ๋ยที่ไม่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่างปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีที่ผ่านการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรและมีตรารับรองคุณภาพจะช่วยให้คุณนำปุ๋ยมาใช้ดูแลต้นไม้ได้อย่างไร้กังวล