เรื่องการจ่ายภาษีนั้นถือเป็นหน้าที่ของประชาชนอย่างเราที่จะต้องแสดงรายได้ของตนเอง ซึ่งเมื่อทำหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว คุณก็ย่อมได้รับสิทธิประโยชน์อย่างการลดหย่อนภาษีร่วมด้วย และกองทุน SSF ที่เราได้รวบรวมมาในครั้งนี้ก็คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีรูปแบบหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยให้คุณเสียภาษีลดลงและเป็นแนวทางการวางแผนการเงินในระยะยาว ให้คุณมีเงินเก็บหรือทำกำไรจากเงินออมได้อีกด้วยค่ะ
ดังนั้น เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ในบทความนี้ทุกคนจะได้พบกับเทคนิคการสังเกตและเลือกกองทุน SSF ให้ตอบโจทย์ พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่สงสัยหรือเข้าใจผิดจากนักวางแผนการเงินโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมี 10 กองทุน SSF คุณภาพที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มีการกระจายความเสี่ยง รวมทั้งมีกลยุทธ์การบริหารกองที่น่าสนใจ จากบลจ.ที่มีชื่อเสียงและมีความมั่นคงน่าเชื่อถือ แต่ก่อนจะไปรู้จักกับกองทุนตัวท็อปนั้น เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของกองทุน SSF กันก่อนดีกว่าค่ะ
Top 5 กองทุน SSF
Kasikorn Asset Management
เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตสูงที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากทั่วโลก
BBL Asset Management
โฟกัสในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเติบโตยั่งยืน
TISCO Asset Management
เน้นหุ้นไทยที่ต่างชาติสนใจและมีความสามารถในการแข่งขัน
Krungthai Asset Management
เลือกลงทุนในหุ้นบริษัทในภูมิภาคยุโรปที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
คุณปอยเรียนจบปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ จาก Assumption University และปริญญาโทจาก Northumbria University สาขา Design Management จากประเทศอังกฤษ หลังจากเริ่มทำงานคุณปอยเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับการเงิน การวางแผนภาษี รวมไปถึงการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมและประกันชีวิต จึงเริ่มศึกษาหาประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงผ่านการเรียนคอร์สต่าง ๆ และเข้าอบรม รวมทั้งสั่งสมประสบการณ์ในการทำงานเป็นนักวางแผนการเงินมืออาชีพอิสระมามากว่า 4 ปี ปัจจุบันคุณปอยมีใบอนุญาตเป็นผู้แนะนำการลงทุนในประเทศไทยและมีลูกค้าภายใต้การดูแลไม่ต่ำกว่า 50 คน สำหรับประเภทของแผนการเงินที่คุณปอยมีความชำนาญเป็นพิเศษ ได้แก่ แผนการออมเพื่อการเกษียณอายุ แผนการออมเพื่อการลดหย่อนภาษี แผนการออมเพื่อการศึกษาบุตรและแผนการเงินเพื่อการส่งต่อมรดก
มายเบสท์ เว็บไซต์แนะนำสินค้าที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 4 ล้านคนต่อเดือน หัวใจของภารกิจของเราคือ ความมุ่งมั่นที่จะให้คำแนะนำที่น่าเชื่อถือได้ เราได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญในหมวดหมู่สินค้าที่หลากหลาย การเดินทางของเราเริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่เรียบง่าย เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคสามารถค้นหาคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือได้ และใช้งานได้จริง เราเข้าใจดีว่า การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคมีความต้องการที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เราทุ่มเทในการนำเสนอคำแนะนำที่ชัดเจน กระชับ มีการวิจัยมาเป็นอย่างดี และตรวจสอบความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญ ทีมงานของเราประกอบด้วยบรรณาธิการและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในหมวดหมู่ต่าง ๆ เจาะลึกลงไปในผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท นำเสนอข้อมูลเชิงลึก เราเชื่อในพลังของวิธีการเลือกสินค้าที่มีข้อมูลครบถ้วน เราเป็นมากกว่าเว็บไซต์ เราเป็นชุมชนของบุคคลที่มีความกระตือรือร้นซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพในการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยทำให้โลกของการช้อปปิ้งออนไลน์เป็นประสบการณ์ที่ง่ายและสนุกสนานยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน
ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเฉพาะ "วิธีการเลือก" เท่านั้น สินค้าและบริการที่ปรากฏอยู่ในบทความไม่ได้ถูกเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญ
สารบัญ
โดยกองทุน SSF นั้นถูกนำมาเป็นสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีแทนกองทุน LTF ที่เพิ่งหมดอายุไปเมื่อสิ้นปี ค.ศ. 2562 SSF เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2563 และสามารถใช้ลดหย่อนได้ปีต่อปี จนถึงปี ค.ศ. 2567 สำหรับความน่าสนใจของกองทุน SSF คือ ไม่มีการกำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อต่อปีและไม่บังคับซื้อต่อเนื่อง อีกทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกหรือไม่ค่อยติดตามข่าวสารการลงทุน เพราะจะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลจัดการเงินทุนให้ แต่จะแตกต่างจาก LTF ตรงที่ต้องถือครองระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 7 ปี เป็น 10 ปี นั่นเองค่ะ
กองทุน SSF หรือชื่อเต็มคือ Super Saving Fund เป็นกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว แต่จะมีความพิเศษกว่ากองทุนธรรมดาคือ รัฐบาลจะอนุญาตให้สามารถนำเงินที่ลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดา ซึ่งปัจจุบันกองทุนชนิด SSF นี้ก็มีหลายหลักทรัพย์ให้เลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือกองทุนรวมแบบผสม
สำหรับข้อกำหนดของกองทุน SSF ก็คือ นักลงทุนจะต้องถือกองทุนเป็นเวลา 10 ปี แบบวันชนวัน และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้และไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุน RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทครับ
สำหรับแนวทางในการเลือกกองทุน SSF ให้ตอบโจทย์กับการบริหารเงินของคุณ มีวิธีการเลือกอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ เลือกจากความสามารถในการรับความเสี่ยงหรือวัตถุประสงค์การลงทุน เลือกจากการจ่ายปันผล และเลือกโดยอ้างอิงวิธีการบริหารกองของผู้จัดการกองทุน ดังนี้
กองทุนรวม SSF มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน ตราสารหนี้ทั้งรัฐและเอกชน หุ้น รวมไปถึงทองคำ แน่นอนว่านอกจากจะเลือกไว้ลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังสามารถเลือกตามความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อใช้ในการบริหารพอร์ตการลงทุน ลดความผันผวนและกระจายความเสี่ยงได้อีกด้วย
สำหรับใครที่ต้องการซื้อกองทุน SSF ไว้เพื่อลดหย่อนภาษีเป็นหลัก หรือไม่สนใจเรื่องผลตอบแทน รวมไปถึงไม่อยากขาดทุนด้วย แนะนำให้เลือกกองทุนที่มีนโยบานลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากธนาคารเลยค่ะ เพราะกองทุนเหล่านี้มีความผันผวนค่อนข้างต่ำ
กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) ก็จะมีนโยบายลงทุนกับพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงต่างกัน แต่เมื่อเทียบกับการลงทุนอื่น ๆ แล้ว ก็นับว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า ส่วนกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) จะมีนโยบายการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ที่มีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถามหรือมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี และเป็นที่ทราบกันดีว่ากองทุนนี้นับเป็นกองที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดค่ะ
สำหรับนักลงทุนที่เน้นลดหย่อนภาษี รักษาเงินต้น และไม่ต้องการผลตอบแทนมากนัก สามารถเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้/ตลาดเงิน ชนิด SSF ได้เลยครับ เพราะว่าจะมีความผันผวนที่ต่ำ แต่ว่าหากยังเป็นนักลงทุนที่อายุไม่เยอะมาก ต้องการออมเงินเพื่อไปใช้ยามเกษียณ ผมแนะนำว่าให้ลงทุนในกองทุนประเภทนี้ประมาณ 20 - 40% ของพอร์ต เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนสูงสุดครับ
ถ้าคุณคือขาลุย รับความเสี่ยงสูงได้และต้องการเลือกกองทุน SSF ไว้ลดหย่อนภาษีไปพร้อม ๆ กับคาดหวังการทำกำไร แนะนำให้เลือกกองทุนที่มีนโยบานลงทุนในหุ้นจะตอบโจทย์ที่สุดค่ะ เพราะกองทุน SSF ประเภทนี้จะมีนโยบายกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ แต่จะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนสูง
และยิ่งถ้าคุณมีความรู้หรือเล่นหุ้นไทยอยู่แล้ว แนะนำให้กระจายความเสี่ยงของกอง SSF ด้วยการศึกษาข้อมูลและลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มเติมค่ะ เพราะข้อดีของการลงทุนในกองหุ้นต่างประเทศ คือ การเปิดกว้างช่องทางการทำกำไร โดยคุณสามารถลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีในไทยได้ อีกทั้งบางกองยังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมานี้ กองทุนหุ้นเทคโนโลยีก็เป็นกองทุนที่น่าจับตามองเพราะให้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควรค่ะ
สำหรับกองทุนหุ้นไทย/ต่างประเทศนั้น จะมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้และมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนของทั้งตลาดไทยและตลาดต่างประเทศ แต่เนื่องจากว่าข้อกำหนดของกองทุนแบบ SSF นั้นกำหนดว่านักลงทุนจำเป็นจะต้องถือต่อเนื่องไปไม่ต่ำกว่า 10 ปี ซึ่งจัดว่าเป็นระยะเวลาในการลงทุนที่ค่อนข้างนาน และด้วยระยะเวลาที่นานจะสามารถช่วยลดความผันผวนของกองทุนหุ้นได้พอสมควรครับ ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการลดหย่อนภาษีและคาดหวังผลตอบแทนประมานหนึ่งเพื่อนำเงินไปใช้ยามเกษียณ กองทุนประเภทนี้ถือว่าดีและควรมีติดพอร์ตเอาไว้ครับ
หากใครที่เดินทางสายกลาง อยากลดหย่อนภาษีแต่ก็ไม่อย่างเสี่ยงมากเกินไป เราขอแนะนำกองทุนรวมผสม ซึ่งเป็นกองที่อยู่ในหมวดให้ผลตอบแทนที่ยอมรับได้ โดยกองทุน SSF แบบผสมนี้จะมีนโยบานลงทุนในสินทรัพย์หลาย ๆ อย่าง โดยผสมตั้งแต่หุ้น ตราสารหนี้ ไปจนถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ
และข้อดีที่เห็นได้ชัด คือ แม้ว่าการลงทุนในบางสัดส่วนจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นความเสี่ยงในระดับที่ไม่เกินระดับ 5 และสามารถสร้างผลตอบแทนโดยรวมได้เป็นที่น่าพอใจ นอกจากนี้ คุณยังสามารถจัดสรรสัดส่วนการลงทุนของตัวเองได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเสี่ยงปานกลางแต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องศึกษารายละเอียดของกองทุนให้รอบด้านเสียก่อน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในอนาคตค่ะ
สำหรับกองทุนประเภทนี้เปรียบเสมือนเป็นกองทุนที่ช่วยนักลงทุนในการจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์อยู่แล้ว อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกองทุนแบบ All-in-one ที่นักลงทุนสามารถเลือกแบบกองเดียวจบได้เลย แต่กองทุนประเภทนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนได้ ซึ่งหากนักลงทุนต้องการเปลี่ยนสัดส่วนของพอร์ต เช่น ต้องการไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อคาดหวังผลกำไร กองทุนรวมผสมก็จะไม่สามารถตอบโจทย์ได้ครับ
โดยปกติแล้วเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการลงทุน ก็จะต้องมีเรื่องผลกำไรเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ดังนั้น นอกจากความเสี่ยงที่คุณรับได้แล้ว ก็ต้องไปดูกันต่อว่า ผลตอบแทนของกองทุน SSF แบบจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผลนั้น มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันอย่างไร และเหมาะสำหรับใครบ้างค่ะ
กองทุนรวมแบบจ่ายปันผลนั้นจะช่วยสร้างกระแสเงินสดให้กับนักลงทุน และสามารถนำเงินที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือนำไปต่อยอดอื่น ๆ ได้ แต่ว่าเงินปันผลนั้นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน 10% ซึ่งหากเป็นการลงทุนระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนที่ได้จะมีความแตกต่างกับกองทุนแบบที่ไม่จ่ายไม่ปันผลค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการกระแสเงินสดมาใช้ในชีวิตประจำวันล่ะก็ กองทุนชนิดนี้อาจจะดูไม่ค่อยคุ้มค่าซักเท่าไหร่นักครับ
ข้อดีกองทุน SSF แบบไม่จ่ายเงินปันผล คือ ไม่ต้องจ่ายภาษีปันผล เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำ มีจำนวนเงินลงทุนไม่มากและต้องการออมเงิน โดยกองทุนแบบไม่จ่ายเงินปันผล จะนำผลกำไรที่ได้นี้กลับไปลงทุนต่อในกองเดิม เพื่อให้เงินก้อนที่ใช้ลงทุนงอกเงยเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่าถ้าเลือกกองทุนมาดีก็มีแนวโน้มว่าผลตอบแทนที่ได้อาจจะดีกว่าเอาปันผลออกมานั่นเองค่ะ
สำหรับกองทุนที่ไม่ปันผลจะนำผลกำไรกลับไปทบกับเงินต้นของเรา เหมือนกับทฤษฎีการทบต้นของดอกเบี้ย (Compounding) ส่งผลให้ผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีมูลค่าสูงมากขึ้นไปและเงินก็จะเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ นั่นเองครับ ซึ่งกองทุนประเภทนี้เหมาะมากกับการลงทุนระยะยาวและผู้ที่คาดหวังผลตอบแทนสูงสุดครับ
วิธีการบริหารกองก็เป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดของกองทุน SSF เลยก็ว่าได้ ดังนั้น นอกจากแต่ละวิธีจะมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันแล้ว ยังส่งผลต่อผลตอบแทนที่คุณจะได้รับในระยะยาวอีกด้วย
หากใครที่มองเรื่องการทำกำไรไว้ด้วย การเลือกกอง Active ถือว่าตอบโจทย์ค่ะ เพราะเป็นกองที่ผู้จัดการกองทุนจะมีวิธีการบริหารกอง ที่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนนั้นชนะค่ามาตรฐาน (Benchmark) หรือทำทุกวิถีทางเพื่อทำผลกำไรให้มากที่สุด
แน่นอนว่าการจะบริหารกองให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ นั้นก็จะต้องอาศัยความรู้ความสามารถของทีมงานและผู้จัดการกองทุน ในการเฟ้นหาและคัดเลือกกองทุน จึงทำให้กองชนิดนี้มีค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูงและความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้ รวมไปถึงการที่กองเน้นกลยุทธ์ทำกำไร ก็ใช่ว่าจะได้ผลตอบแทนดีเสมอไป เพราะหากวิสัยทัศน์หรือกลยุทธ์ของทีมผิดพลาด เกิดการลงทุนผิดจังหวะก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่แย่มากก็เป็นได้ค่ะ
กองทุนแบบ Active นั้นจะมีการบริหารกองทุนแบบเชิงรุกหรือหากอธิบายแบบให้เข้าใจง่ายก็คือ ผู้บริหารกองทุนจะเน้นการสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีที่กองทุนนั้นอ้างอิงถึงนั่นเองครับ ซึ่งกองทุนแบบ Active Fund จะคอยหาจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อ-ขาย เพื่อทำผลตอบแทนให้ดีกว่าค่าเฉลี่ยครับ แต่ก็แน่นอนว่า การบริหารกองทุนในลักษณะนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากกว่ากองทุนแบบ Passive จึงทำให้กองทุนแบบ Active มักจะมีค่าบริหารกองทุนที่สูงกว่านั่นเองครับ
การบริหารกองทุนแบบ Passive หรือที่หลาย ๆ คนเรียกกันว่ากอง Passive มีจุดเด่นคือ ค่าธรรมเนียมในการบริหารกองทุนต่ำกว่ากองแบบ Active เนื่องจากผู้จัดการกองทุนจะบริหารกองแบบที่ลดความเสี่ยงลงมา กล่าวคือจะมีการ Take Action น้อยกว่ากอง Active โดยส่วนใหญ่จะอาศัยความเชื่อมั่นของตลาด ที่ถึงแม้อาจจะมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวก็สามารถทำกำไรได้
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่มีความรู้หรือไม่มีเวลาในการจัดการการลงทุนของตัวเอง ไม่อยากเสี่ยงกับการสับเปลี่ยน ซื้อขายไปมา อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกอง Passive หากผู้บริหารกองเลือกกองที่มีแนวโน้มของผลการดำเนินงานไม่ดีเท่าที่ควร ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเสียโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาวด้วยนั่นเอง
กองทุนแบบ Passive Fund นั้นก็คือกองทุนที่มีการบริหารกองทุนแบบเชิงรับที่จะเน้นให้กองทุนมีผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกับดัชนีที่กองทุนอ้างอิงถึงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั่นเองครับ ซึ่งกองทุนแบบ Passive นั้นผู้บริหารกองทุนจะไม่ต้องคอยจับตาดูตลาดลงทุนมากเท่ากับแบบ Active Fund เลยทำให้ค่าบริหารกองทุน Passive นั้นจะถูกกว่าแบบ Active Fund ครับ
สินค้า | รูปภาพ | ราคาต่ำสุด | คะแนน | |
---|---|---|---|---|
1 | Kasikorn Asset Management กองทุน SSF กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม (K-CHANGE-SSF) | ![]() | เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตสูงที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากทั่วโลก | |
2 | BBL Asset Management กองทุน SSF บัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการออม (B-INNOTECHSSF) | ![]() | โฟกัสในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเติบโตยั่งยืน | |
3 | TISCO Asset Management กองทุน SSF ทิสโก้ หุ้นไทย Well-being ชนิดหน่วยลงทุนเพื่อกำรออม (TISCOWB-SSF) | ![]() | เน้นหุ้นไทยที่ต่างชาติสนใจและมีความสามารถในการแข่งขัน | |
4 | Krungthai Asset Management กองทุน SSF เคแทม ยูโรเปียน เทคโนโลยี อิควิตี้ ฟันด์ ชนิดเพื่อการออม (KT-EUROTECH-SSF) | ![]() | เลือกลงทุนในหุ้นบริษัทในภูมิภาคยุโรปที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี | |
5 | One Asset Management กองทุน SSF กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม แบบไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-UGG-ASSF) | ![]() | มุ่งหวังผลตอบแทนระยะยาว ด้วยหุ้นศักยภาพสูงจากทั่วโลก | |
6 | SCB Asset Management กองทุน SSF กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส ชนิดเพื่อการออม (SCBS&P500-SSF) | ![]() | เลือกลงทุนโดยอ้างอิงดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา | |
7 | UOB Asset Management กองทุน SSF กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม (UGIS-SSF) | ![]() | ลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุนให้มีความเสี่ยงระดับกลาง | |
8 | Asset Plus Fund Management กองทุน SSF กองทุนเปิด แอสเซทพลัส อีโวลูชั่น ไชน่า อิควิตี้ เพื่อการออม (ASP-EVOCHINA-SSF) | ![]() | เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนมากขึ้นจากตลาดจีนที่กำลังเติบโต | |
9 | Krungsri Asset Management กองทุน SSF กรุงศรีโกลบอลโกรทเพื่อการออม (KFGGSSF) | ![]() | เน้นหุ้นจากทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับโลกาภิวัฒน์และเทคโนโลยี | |
10 | Kiatnakin Phatra Asset Management กองทุน SSF กองทุนเปิดเคเคพี EXPANDED TECH - HEDGED ชนิดเพื่อการออม (KKP TECH-H-SSF) | ![]() | ลงทุนในหุ้นที่เคลื่อนไหวตามดัชนีเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา |
แนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือรักษ์โลกนั้นกำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงทั้งในปัจจุบันและคาดว่าจะส่งผลสืบเนื่องไปยังอนาคตด้วยเช่นกัน ดังนั้นกองทุน SSF ตัวนี้จึงเลือกลงทุนตามแนวคิดดังกล่าวผ่านกองทุนหลักอย่าง Baillie Gifford Positive Change Fund - Class B accumulation (GBP) โดยกองทุนดังกล่าวจะที่มีนโยบายคัดเลือกและลงทุนในหุ้นที่มี Positive Impact หรือผลกระทบเชิงบวกจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสังคมและการศึกษา สร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิต และมีส่วนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
กองทุน SSF ตัวนี้ได้รับการการันตีระดับ 5 ดาวจาก Morningstar และมีกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนแบบ Active Management เมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัดพบว่า มีช่วงที่กองทุนนั้นสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่มีมูลค่าสูงกว่าดัชนีชี้วัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ดัชนีชี้วัดนั้นมีมูลค่าติดลบ แต่ผลการดำเนินงานของกองทุนนั้นมีกำไร จากสัดส่วนการลงทุนของกองทุนพบว่ามีการลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาสูงเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยบราซิลและเดนมาร์ก และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ต่ำกว่า 75%
กองทุน SSF ตัวนี้จะโฟกัสการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี เนื่องจากเล็งเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญทั้งในปัจจุบันและโลกอนาคต มีกองทุนหลักอย่าง Fidelity Funds - Global Technology Fund Class Y-ACC-USD ที่มุ่งหาผลตอบแทนในระยะยาว โดยจะคัดเลือกหุ้นจากบริษัทเทคโนโลยีทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก พิจารณาจากศักยภาพในการเติบโต ความสามารถในการแข่งขัน ความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่มีความผันผวน อีกทั้งยังเลือกหุ้นที่ทางกองทุนเล็งเห็นว่ายังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพื่อสะสมมูลค่าทำกำไรจากส่วนต่างนี้ที่สามารถรับรู้ได้ในอนาคต
กองทุนนี้มีกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบ Active Management ซึ่งเมื่อเทียบผลการดำเนินงานที่ผ่านมากับดัชนีชี้วัด พบว่า มีมูลค่าสูงกว่าอยู่หลายช่วงระยะเวลากันเลยทีเดียว และในช่วงที่ดัชนีชี้วัดมีมูลค่าติดลบ ทางกองทุนก็สามารถสร้างกำไรในผลการดำเนินงาน และยังมีมูลค่าเหนือกว่าค่าเฉลี่ยจากกองทุนอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน เพราะกองทุนนี้มีการลงทุนแบบกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จึงทำให้มีความเสี่ยงอยู่ในระดับ 7
กองทุน SSF ตัวนี้จะเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี SET Well-being (SETWB) ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง และยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย แต่ทางกองทุนจะยังคงใช้กลยุทธ์แบบ Active Management เพื่อบริหารให้กองทุนมีผลการดำเนินงานที่มีมูลค่าสูงกว่าดัชนีชี้วัดดังกล่าว ผู้จัดการกองทุนจึงจะทำการคัดเลือกหุ้นที่อยู่ใน SETWB ด้วยตัวเอง โดยพิจารณาถึงศักยภาพในการให้ผลตอบแทนอย่างมั่นคง
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนนี้นับตั้งแต่จัดตั้งมายังถือว่าสามารถทำกำไรได้ และเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัดพบว่า บางช่วงมีมูลค่าเหนือกว่าดัชนีชี้วัด โดยช่วงที่ดัชนีชี้วัดมีมูลค่าติดลบ ผลการดำเนินงานของกองทุนนั้นติดลบน้อยกว่า และบางครั้งก็ยังมีผลการดำเนินงานเป็นบวก เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานเฉลี่ยจากกองทุนอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน พบว่ามีมูลค่ามากกว่าด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมี Maximum Drawdown ต่ำ พร้อมกับระยะเวลาการฟื้นตัวอยู่ที่ 4 เดือน
กองทุน SSF ตัวนี้จะเลือกลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักต่างประเทศเพียงกองเดียว ซึ่งกองทุนดังกล่าวนั้นก็คือ JPMorgan Funds -Europe Dynamic Technologies Fund ชนิดหน่วยลงทุน (share class) “I” ในสกุลเงินยูโร โดยกองทุนนี้จะเลือกหุ้นจากบริษัทในภูมิภาคยุโรปที่ดำเนินกิจการเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าตลาดเทคโนโลยีในภูมิภาคยุโรปนั้นจะไม่ได้มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็พบว่ามีนโยบายผลักดันเกี่ยวกับเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่องผ่านการอัดฉีดเงินลงทุนให้กับบริษัทที่ดำเนินกิจการทางด้านเทคโนโลยี ทำให้คาดการณ์ว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตได้ในอนาคต
กองทุนนี้มีกลยุทธ์การบริหารแบบ Active Management ผลการดำเนินงานที่ผ่านมานั้นยังมีมูลค่าต่ำกว่าดัชนีชี้วัดในหลายช่วง แต่เมื่อเทียบจากตั้งแต่จัดตั้งนั้นถือว่าอยู่เหนือกว่าดัชนีชี้วัดเล็กน้อย เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกองทุนอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันก็พบว่ามีทั้งช่วงที่มีมูลค่าน้อยกว่าและสูงกว่า แต่ในช่วงที่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มนั้นติดลบ ทางกองทุนเองก็มีผลการดำเนินงานที่ติดลบน้อยกว่า กองทุนนี้ยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ในระหว่างที่ถือหน่วยลงทุนด้วย
กองทุนนี้จะมีกองทุนหลักหรือกองทุนแม่คือ Baillie Gifford Long Term Global Growth ซึ่งเป็นกองทุนที่จะทำการคัดเลือกหุ้นศักยภาพสูงจากทั่วโลก โดยใช้กระบวนการคัดเลือกหุ้นด้วยการวิเคราะห์แบบ Bottom-up สรรหาหุ้นที่มีความสามารถเติบโตได้เหนือกว่าเท่าตัวในระยะยาว 5 ปี ข้างหน้า โดยที่จะต้องมีพื้นฐานแข็งแกร่ง สามารถฟื้นตัวได้ดี เลือกพิจารณาจาก Upsides ของหุ้นเป็นหลักมากกว่าความผันผวนระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรมากขึ้นในอนาคต พิจารณาเลือกหุ้นจากทั่วโลกโดยที่ไม่มีการจำกัดภูมิภาค หรือกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจ หุ้น ๆ เด่นในพอร์ตการลงทุนที่หลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั้นได้แก่ Amazon, Tesla และ NVIDIA
มีกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบ Active Management นับตั้งแต่จัดตั้งมานั้นยังมีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าดัชนีชี้วัด แต่พบว่าในช่วงระยะ 3 เดือนล่าสุดนั้นสร้างผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าดัชนีชี้วัดดังกล่าวที่มีมูลค่าติดลบ และยังมีมูลค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยจากกองทุนอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน ทางกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ
หากพูดถึงตลาดหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกา ทุกคนก็คงจะรู้จักกับดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมเอา 500 บริษัทขนาดใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา และยังเป็นดัชนีที่สะท้อนมูลค่าเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐอเมริกาได้ดี กองทุน SSF ตัวนี้จึงโฟกัสที่ดัชนีดังกล่าว ด้วยการลงทุนใน Feeder Fund อย่าง กองทุน IShares Core S&P 500 ETF เพียงกองเดียว ซึ่งเป็นกองทุนดัชนีที่เน้นการบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี S&P500 ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนระดับเริ่มต้นที่สนใจในตลาดสหรัฐอเมริกา เพราะถือว่าเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและยังมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ว่ากองทุนดังกล่าวจะลงทุนในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่ก็มีนโบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 90% ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องดี เพราะบ่อยครั้งค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงหรือผันผวนก็ทำให้คุณนั้นได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผลการดำเนินงานที่ผ่านมานั้นมีความใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดดังกล่าว ทางกองทุนเองก็ยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ในระหว่างที่คุณถือหน่วยลงทุนกันอีกด้วย
การลงทุนในตราสารทุนหรือตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว บ่อยครั้งก็มีความเสี่ยงสูง จนทำให้เกิดการขาดทุน ดังนั้นผู้สนใจลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับกลาง ก็อาจจะลองพิจารณาเลือกกองทุน SSF ที่มีการลงทุนแบบผสม เช่นเดียวกับกองทุนนี้ที่ลงทุนใน PIMCO GIS Income Fund (Class I) ซึ่งจะกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้และตราสารทุน โดยมีสัดส่วนของตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกอย่างน้อย 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สิน และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นบางส่วน
กองทุนนี้จะมีกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบเชิงรุก เน้นผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าดัชนีชี้วัด ซึ่งจากประวัติผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมา มีช่วงที่ทางกองทุนนั้นสร้างผลการดำเนินงานที่มากกว่าดัชนีชี้วัด และในช่วงที่ดัชนีชี้วัดมีการติดลบ ผลการดำเนินงานของกองทุนนั้นก็มีการติดลบน้อยกว่า และเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกองทุนอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันก็พบว่ามีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าอีกด้วย ทางกองทุนจะไม่มีนโบายจ่ายเงินปันผลเพราะเป็นแบบเน้นสะสมมูลค่าเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหน่วยลงทุน
ตลาดเศรษฐกิจจีนนั้นถือเป็นตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนขึ้นมาเป็นแนวหน้าของโลกได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นถ้าใครที่อยากเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนมากขึ้นก็ไม่ควรพลาดการลงทุนในตลาดนี้ ซึ่งกองทุน SSF ตัวนี้เองก็ได้เน้นการลงทุนในตลาดจีน โดยรวมทั้งจีน ฮ่องกงและไต้หวัน หรือที่หลายคนอาจจะเรียกการลงทุนในตลาดนี้ว่า Greater China กองทุนนี้จะไม่ได้มีการลงทุนในกองทุนหลักเพียงแค่ตัวใดตัวหนึ่ง แต่จะจัดสรรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยมีทั้ง ETFs กองทุนหลักต่างประเทศและลงทุนในหุ้นโดยตรงเป็นรายตัว
ทางกองทุนนั้นมีกลยุทธ์แบบเชิงรุกหรือ Active Management เมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัดแล้วพบว่ามีมูลค่าสูงกว่านับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ในช่วงปีก่อนจะเกิดสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 นั้นพบว่ามีมูลค่าสูงกว่าดัชนีชี้วัดด้วยเช่นกัน แต่หลังเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวนั้นมีมูลค่าต่ำกว่า จึงจะต้องรอการฟื้นตัวในระยะยาว กองทุนนี้จะไม่มีนโบายจ่ายเงินปันผลและมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
โลกาภิวัฒน์และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีนั้นเป็นเทรนด์หลักที่จะมีผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในอนาคต ดังนั้นกิจการที่มีความเกี่ยวข้องกับเทรนด์ดังกล่าวย่อมจะต้องมีโอกาสในการทำกำไรจากการเติบโต กองทุน SSF ตัวนี้จึงเลือกลงทุนตามธีมนี้ผ่านกองทุน Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund, Class B USD Acc ที่จะมีการคัดเลือกหุ้นจากทั่วโลก โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน โดยจะเลือกอุตสาหกรรมที่จะลงทุนอย่างน้อย 6 กลุ่ม และมาจากอย่างน้อย 6 ประเทศ มีการลงทุนแบบกระจุกตัวในบางส่วนแต่จะเน้นหลักทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือ
กองทุนนี้จะมีกลยุทธ์แบบ Active Management ให้มีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าดัชนีชี้วัดอย่าง MSCI ACWI Gross Total Return USD Index ซึ่งผลการดำเนินงานแบบ YTD หรือยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีย้อนกลับนั้นมีมูลค่าสูงกว่าดัชนีชี้วัด รวมไปถึงระยะสั้น 3 เดือน อีกทั้งทางกองทุนเองก็ยังมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผล โดยจะจ่ายก็ต่อเมื่อกองทุนนั้นสามารถสร้างกำไรจากผลการดำเนินงาน และเงินปันผลที่คำนวณได้จะต้องไม่ต่ำกว่า 0.25 บาทต่อหน่วยลงทุน
กองทุน SSF ตัวนี้จะเป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์แบบ Passive Management เคลื่อนไหวตามดัชนีที่มีชื่อวา S&P North American Expanded Technology Sector Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่อยู่ในอุตสาหกรรม Communication Service และ Consumer Discretionary จากทั้งสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตัวอย่างเช่น Microsoft, APPLE, Amazon, Google และ Visa เป็นต้น ถือได้ว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ยังคงน่าจับตามอง เนื่องจากเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบันและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
แม้ว่าจะมีการลงทุนในต่างประเทศ แต่ทางกองทุนก็มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ต่ำกว่า 90% ทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนนั้นมีความใกล้เคียงและสอดคล้องกับมูลค่าของดัชนีชี้วัดดังกล่าว นอกจากนี้ยังไม่ได้มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผล เน้นการสะสมมูลค่าของราคาหน่วยลงทุน ทั้งนี้เป็นกองทุนที่มีการลงทุนกระจุกตัวทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวและประเทศเดียว จึงมีความเสี่ยงในระดับสูงที่คุณอาจจะต้องขาดทุนหรือเสียเงินลงทุนขั้นต้น
นักลงทุนสามารถที่จะนำยอดซื้อกองทุน SSF ไปลดหย่อนภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดาได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้และไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุน RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทครับ
กองทุน SSF นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หากปีไหนไม่พร้อมก็สามารถไปซื้อปีถัดไปได้ครับ
สำหรับข้อกำหนดในการใช้บัตรเครดิตซื้อกองทุน SSF นั้นจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ผู้อ่านสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบริษัทจัดการหลักทรัพย์ที่สนใจได้เลยครับ แต่ว่าการใช้บัตรเครดิตซื้อกองทุน SSF จะไม่สามารถสะสมแต้มและเข้าร่วมโปรโมชั่นส่งเสริมการขายใด ๆ เนื่องจากเป็นข้อกำหนดที่ทาง ก.ล.ต. กำหนดเอาไว้นั่นเองครับ
อันดับที่ 1: Kasikorn Asset Management|กองทุน SSF กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม (K-CHANGE-SSF)
อันดับที่ 2: BBL Asset Management|กองทุน SSF บัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการออม (B-INNOTECHSSF)
อันดับที่ 3: TISCO Asset Management |กองทุน SSF ทิสโก้ หุ้นไทย Well-being ชนิดหน่วยลงทุนเพื่อกำรออม (TISCOWB-SSF)
อันดับที่ 4: Krungthai Asset Management|กองทุน SSF เคแทม ยูโรเปียน เทคโนโลยี อิควิตี้ ฟันด์ ชนิดเพื่อการออม (KT-EUROTECH-SSF)
อันดับที่ 5: One Asset Management|กองทุน SSF กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม แบบไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-UGG-ASSF)
คลิกที่นี่สำหรับการจัดอันดับคำบรรยายสินค้าแต่ละรายการอ้างอิงจากเนื้อหาที่แสดงในเว็บไซต์ผู้ผลิต แบรนด์ และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
เครื่องดื่ม
วัสดุก่อสร้าง, เครื่องมือและอุปกรณ์ช่าง
สวนและอุปกรณ์ในสวน
ความงาม, ของใช้ส่วนตัว
โน้ตบุ๊ก, PC, อุปกรณ์ไอที
ของใช้ในบ้าน, อุปกรณ์ในบ้าน
เครื่องใช้ไฟฟ้า
กล้อง
เครื่องสำอาง, สกินแคร์
สุขภาพ
อาหาร
เครื่องใช้ในครัว
แฟชั่น
รองเท้า
นาฬิกา, เครื่องประดับ
แม่และเด็ก
เฟอร์นิเจอร์, อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน
งานอดิเรก
กิจกรรมกลางแจ้ง
DIY, เครื่องเขียน, อุปกรณ์สำนักงาน
กีฬา
สัตว์เลี้ยง
หนังสือ
เกม
รถยนต์, รถจักรยานยนต์, อุปกรณ์เสริม
ของขวัญ, ของฝาก
ท่องเที่ยว
สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, อุปกรณ์เสริม
เครือข่ายมือถือ
การลงทุน
เครดิตการ์ด, สินเชื่อ, ประกัน
ดนตรี, เครื่องเสียง
แอปพลิเคชัน, โปรแกรม
บริการ