ปัจจุบันนี้นักลงทุนหลายคนเลือกที่จะลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีการเติบโตทั้งเรื่องของประชากรและเศรษฐกิจ ซึ่งหนึ่งในประเทศที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากก็คือ ประเทศอินเดีย การลงทุนในประเทศอินเดียที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็สามารถทำได้ด้วยการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนอินเดียจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศไทยหลาย ๆ บริษัทได้จัดตั้งขึ้น
กองทุนอินเดียก็เหมือนกับกองทุนต่างประเทศอื่น ๆ แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ทั้งในเรื่องของกลยุทธ์หลัก สัดส่วนของอุตสาหกรรมที่เลือกลงทุน นโยบายในการจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ รวมไปถึงค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมเกี่ยวกับวิธีการเลือกกองทุนอินเดียพร้อมคำแนะนำจากนักวางแผนการเงินโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมี 10 กองทุนอินเดีย ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความน่าสนใจมาให้คุณได้เป็นไอเดียกันอีกด้วยครับ
Top 5 กองทุนอินเดีย
BBL Asset ManagementB
ค่าธรรมเนียมต่ำ ผลการดำเนินงานสูง ปรับตัวดีช่วงตลาดผันผวน
King Wai Asset Management
มีผลการดำเนินงานที่สูงต่อเนื่อง เอาชนะค่า Benchmark ได้หลายปี
TISCO Asset Management
กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในอินเดีย บังกลาเทศและปากีสถาน
TMBAM Eastspring
ลงทุนในกองทุนหลัก 5 ดาว Morningstar ค่าธรรมเนียมประหยัด
คุณปอยเรียนจบปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ จาก Assumption University และปริญญาโทจาก Northumbria University สาขา Design Management จากประเทศอังกฤษ หลังจากเริ่มทำงานคุณปอยเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับการเงิน การวางแผนภาษี รวมไปถึงการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมและประกันชีวิต จึงเริ่มศึกษาหาประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงผ่านการเรียนคอร์สต่าง ๆ และเข้าอบรม รวมทั้งสั่งสมประสบการณ์ในการทำงานเป็นนักวางแผนการเงินมืออาชีพอิสระมามากว่า 4 ปี ปัจจุบันคุณปอยมีใบอนุญาตเป็นผู้แนะนำการลงทุนในประเทศไทยและมีลูกค้าภายใต้การดูแลไม่ต่ำกว่า 50 คน สำหรับประเภทของแผนการเงินที่คุณปอยมีความชำนาญเป็นพิเศษ ได้แก่ แผนการออมเพื่อการเกษียณอายุ แผนการออมเพื่อการลดหย่อนภาษี แผนการออมเพื่อการศึกษาบุตรและแผนการเงินเพื่อการส่งต่อมรดก
มายเบสท์ เว็บไซต์แนะนำสินค้าที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 4 ล้านคนต่อเดือน หัวใจของภารกิจของเราคือ ความมุ่งมั่นที่จะให้คำแนะนำที่น่าเชื่อถือได้ เราได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญในหมวดหมู่สินค้าที่หลากหลาย การเดินทางของเราเริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่เรียบง่าย เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคสามารถค้นหาคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือได้ และใช้งานได้จริง เราเข้าใจดีว่า การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคมีความต้องการที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เราทุ่มเทในการนำเสนอคำแนะนำที่ชัดเจน กระชับ มีการวิจัยมาเป็นอย่างดี และตรวจสอบความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญ ทีมงานของเราประกอบด้วยบรรณาธิการและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในหมวดหมู่ต่าง ๆ เจาะลึกลงไปในผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท นำเสนอข้อมูลเชิงลึก เราเชื่อในพลังของวิธีการเลือกสินค้าที่มีข้อมูลครบถ้วน เราเป็นมากกว่าเว็บไซต์ เราเป็นชุมชนของบุคคลที่มีความกระตือรือร้นซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพในการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยทำให้โลกของการช้อปปิ้งออนไลน์เป็นประสบการณ์ที่ง่ายและสนุกสนานยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน
ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเฉพาะ "วิธีการเลือก" เท่านั้น สินค้าและบริการที่ปรากฏอยู่ในบทความไม่ได้ถูกเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญ
สารบัญ
กองทุนอินเดียจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหรือบลจ. ในประเทศไทยเองก็มีอยู่ด้วยกันในหลายกองทุน และความแตกต่างของแต่ละกองทุนเองก็จะเป็นข้อบ่งชี้สำคัญว่าเหมาะสมกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของผู้ที่สนใจซื้อหน่วยลงทุนหรือไม่
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนอินเดียในแต่ละกองก็มีความแตกต่างกัน โดยเหตุผลหลัก ๆ ของความแตกต่างเหล่านี้นั้นเกิดจากกลยุทธ์ที่ผู้จัดการกองทุนเลือกใช้ในการบริหารกองทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายของการบริหารนั้นต้องการให้ได้ผลประกอบการของกองทุนที่เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโดยรวม
กองทุนอินเดียแบบ Passive Managemet เป็นกองทุนที่ใช้กลยุทธ์ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการของกองทุนนั้นเคลื่อนไหวตามดัชนีของตลาดหุ้น ซึ่งกองทุนประเภทนี้ไม่ต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญมากนักจึงจะมีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการบริหารกองทุนที่ต่ำ อีกทั้งยังมีการกระจายความเสี่ยงได้ดี ดัชนีที่นิยมใช้ในการอ้างอิงคือ ดัชนี Nifty 50 สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของหุ้นจาก 50 บริษัทชั้นนำในตลาดหุ้น NSE และ ดัชนี MSCI India จากบริษัททางด้านการเงินขนาดใหญ่ของโลก ที่คัดเลือกหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่และกลางจำนวน 101 บริษัท
กองทุนอินเดียแบบ Active Management เป็นกองทุนที่เลือกใช้กลยุทธ์เพื่อบริหารจัดการกองทุนให้มีผลประกอบการที่เหนือกว่าตัวชี้วัดหรือ Benchmark โดยส่วนใหญ่จะใช้ดัชนีของตลาดหุ้นเป็นตัวชี้วัด ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นที่ทางกองทุนเล็งเห็นว่ามีศักยภาพมากกว่าที่ตลาดมองเห็นและคอยหาจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุนนั่นเอง แต่กองทุนประเภทนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมที่สูง อีกทั้งอาจจะมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการลงทุน แต่ก็มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม เป็นกองทุนที่มีความได้เปรียบหากเลือกลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นนั้นมีความชะลอตัว และยังมีความยืดหยุ่นสูง
กองทุนอินเดียในแต่ละกองทุนก็ยังมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีทั้งความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ไม่เท่ากันอีกด้วย โดยกลุ่มธุรกิจที่มี GDP สูงในประเทศอินเดียคือ กลุ่มธุรกิจบริการอันได้แก่ สถาบันทางการเงินและการธนาคาร ธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคม กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรซึ่งมีผลผลิตมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังมาแรงและมีศักยภาพในอนาคต กองทุนอินเดียที่เลือกลงทุนแบบกระจุกตัวในกลุ่มธุรกิจเดียวก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนอินเดียที่เลือกลงทุนแบบกระจายตัวครับ
เนื่องจากว่ากองทุนอินเดียนั้นเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ เวลาที่เราหาข้อมูลกองทุนนอกจากนโยบายการลงทุนแล้ว จะมี “นโยบายค่าเงิน” พ่วงติดมาด้วยเสมอ ซึ่งเป็นการบอกว่ากองทุนนั้นมีการป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน (Hedging) หรือไม่ ถ้าหากนักลงทุนกังวลกับการขึ้น ๆ ลง ๆ ของค่าเงิน การเลือกกองทุนที่ Hedge ค่าเงินให้เรา ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สบายใจ ทำให้เราลงทุนได้อย่างต่อเนื่องครับ
แน่นอนครับว่า เมื่อเราลงทุนผ่านกองทุนรวมจะต้องมีค่าธรรมเนียมการจัดการตามมา ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในกองทุนอินเดียกองใดกองหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า ควรหากองทุนที่มีนโยบายการลงทุนใกล้เคียงกันมาเปรียบเทียบว่าผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอย่างไรบ้าง และเมื่อเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมด้วยแล้วกองทุนไหนมีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่ากันมาประกอบการตัดสินใจก่อนลงทุนด้วยจะดีที่สุดครับ
สินค้า | รูปภาพ | ราคาต่ำสุด | คะแนน | |
---|---|---|---|---|
1 | BBL Asset ManagementB กองทุนอินเดีย กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ - B-BHARATA | ![]() | ค่าธรรมเนียมต่ำ ผลการดำเนินงานสูง ปรับตัวดีช่วงตลาดผันผวน | |
2 | King Wai Asset Management กองทุนอินเดีย กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ อินเดีย อิควิตี้ เอฟไอเอฟชนิดจ่ายเงินปันผล - KWI INDIA-D | ![]() | มีผลการดำเนินงานที่สูงต่อเนื่อง เอาชนะค่า Benchmark ได้หลายปี | |
3 | TISCO Asset Management กองทุนอินเดีย กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย แอคทีฟ อิควิตี้ ชนิดสะสมผลตอบแทน - TISCOINA-A | ![]() | กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในอินเดีย บังกลาเทศและปากีสถาน | |
4 | TMBAM Eastspring กองทุนอินเดีย กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity - TMBINDAE | ![]() | ลงทุนในกองทุนหลัก 5 ดาว Morningstar ค่าธรรมเนียมประหยัด | |
5 | Asset Plus Fund Management กองทุนอินเดีย แอสเซทพลัส อินเดีย ไดนามิกส์ อิควิตี้ - ASP-INDIA | ![]() | คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom up เน้นบริษัทที่เป็น Blue Chip Companies | |
6 | SCB Asset Management กองทุนอินเดีย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นอินเดีย ชนิดจ่ายเงินปันผล - SCBINDIA | ![]() | จัดสรรการลงทุนโดยอ้างอิงดัชนี Nifty 50 พร้อมค่าธรรมเนียมที่ต่ำ | |
7 | Krungthai Asset Management กองทุนอินเดีย กองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ ชนิดจ่ายเงินปันผล - KT-INDIA-D | ![]() | เน้นการเติบโตในระยะยาว มีปันผลให้อย่างสม่ำเสมอประจำทุกปี | |
8 | Kasikorn Asset Management กองทุนอินเดีย กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นอินเดีย - K-INDX | ![]() | ลงทุนตามดัชนี Nifty 50 เน้นบริษัทชั้นนำ 50 บริษัทของอินเดีย | |
9 | One Asset Management กองทุนอินเดีย กองทุนเปิด วรรณ อินเดีย ออพพอร์ทูนิตี้ ชนิดจ่ายเงินปันผลสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป - ONE-INDIAOPP-RD | ![]() | ลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดีเติบโตในระยะยาว พร้อมให้เงินปันผล | |
10 | Land And Houses Fund Management กองทุนอินเดีย กองทุนเปิด แอล เอช อินเดีย-E ชนิดจ่ายเงินปันผล - LHINDIAE-D | ![]() | กระจายความเสี่ยงด้วยกองทุนหลัก 2 กอง จ่ายปันผลหลายครั้งต่อปี |
กองทุนอินเดียที่มีกลยุทธ์แบบ Active Management โดยเลือกซื้อกองทุนหลักอย่าง RAMS Equities Portfolio Fund - India Equities Portfolio Fund ซึ่งเป็นกองทุนอินเดียที่ได้ 5 ดาวจาก Morningstar จุดเด่นคือค่าธรรมเนียมในการซื้อขายที่ต่ำ คิดเพียง 1% ในกรณีที่คุณเข้าซื้อหน่วยลงทุน และยังมีค่าธรรมเนียมกองทุนต่ำอีกด้วย มีผลการดำเนินงานที่สูงมาโดยตลอด และเมื่อเทียบกับ Benchmark อย่างดัชนี MSCI India แล้วยังพบว่าสามารถปรับตัวและทำกำไรในช่วงที่ดัชนีดังกล่าวติดลบอีกด้วย
กองทุนอินเดียแบบ Active Management ที่ลงทุนในกองทุนหลักอย่าง Manulife Global Fund –India Equity Fund (Class I2) ซึ่งมีนโยบายในการกระจายการลงทุนไปให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจการเงินและธนาคาร รวมไปถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผลการดำเนินงานที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเมื่อเทียบกับ Benchmark ซึ่งเป็นดัชนี MSCI India ก็สามารถเอาชนะได้ในหลายปี และมีนโยบายจ่ายปันผลอีกด้วย
กองทุนอินเดียแบบ Active Management ที่มีการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนหลักถึง 3 กองทุน โดยมีทั้ง Nomura Funds Ireland plc India Equity Fund, Goldman Sachs India Equity Portfolio และ FSSA Indian Subcontinent Fund ซึ่งกองทุนอินเดียกองนี้จะไม่ได้เน้นการลงทุนในประเทศอินเดียเพียงอย่างเดียว แต่ยังลงทุนในประเทศบังกลาเทศและปากีสถานที่อยู่ติดกับอินเดียอีกด้วย เป็นกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในกลุ่มกองทุนประเภทเดียวกันอย่างต่อเนื่องมาหลายปี
กองทุนอินเดียที่เลือกลงทุนในกองทุนหลักอย่าง Goldman Sachs India Equity Portfolio ซึ่งเป็นกองทุน 5 ดาวจาก Morningstar อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ในการบริหารการลงทุนแบบ Active Management เลือกลงทุนในบริษัทจากอินเดียมากถึง 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สิน ความโดดเด่นของกองทุนนี้คือมีเกณฑ์การลงทุนขั้นต่ำเริ่มที่ 1 บาทเท่านั้น ดังนั้นจะมีมากหรือน้อยก็ลงทุนได้ อีกทั้งยังมีค่าธรรมเนียมที่ประหยัด คิดเฉพาะค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อหน่วยลงทุนที่ไม่เกิน 1.5% และมีค่าธรรมเนียมกองทุนต่ำ
กองทุนอินเดียที่ใช้กลยุทธ์แบบ Active Management โดยผู้จัดการกองทุนหลักอย่าง UTI India Dynamic Equity Fund จะคัดเลือกหุ้นจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์อินเดียโดยวิธีแบบ Bottom up เพื่อให้ได้บริษัทที่เป็น Blue Chip Companies คือมีความแข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแบบทั้งหมด สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีมาตลอดและในบางปีก็เหนือกว่าดัชนีของตลาดอย่าง MSCI India อีกด้วย นอกจากนี้ยังยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขายหน่วยลงทุนคืน
กองทุนอินเดียในรูปแบบ Index Fund หรือมีการจัดการกองทุนแบบ Passive Management โดยเลือกอ้างอิงดัชนี Nifty 50 คัดเลือกหุ้นจากบริษัทแข็งแกร่ง 50 บริษัทจากประเทศอินเดีย อีกทั้งยังมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแบบทั้งหมด ผลการดำเนินงานของกองทุนนั้นมีความใกล้เคียงกับดัชนี Nifty 50 มีเพดานค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการซื้อขายและการจัดการกองทุนที่ต่ำ และยังมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขายหน่วยลงทุนคืนให้กับกองทุนอีกด้วย อีกทั้งยังมีการจ่ายปันผลให้ผู้ลงทุน
กองทุนอินเดียที่มีกลยุทธ์ในการบริหารพอร์ตการลงทุนแบบ Active Management โดยมีกองทุนหลักคือ Invesco India Equity Fund ซึ่งได้รับ 3 ดาวจาก Morningstar เน้นการลงทุนในบริษัทอินเดียที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว โดยกลุ่มธุรกิจที่มีการจัดสรรการลงทุนมากที่สุดคือ การเงินและธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศและวัสดุ สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนนั้นอยู่ในระดับกลาง ๆ โดยมีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าดัชนี MSCI Inidia ในบางปี และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล
กองทุนอินเดียแบบ Passive Management ที่เลือกจัดสรรการลงทุนในบริษัทชั้นนำที่อยู่ในเกณฑ์ของดัชนี Nifty 50 ซึ่งถือเป็นดัชนีหลักของตลาดหุ้นอินเดียที่ได้รับความนิยม อีกทั้งยังมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 75% เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่ามีความใกล้เคียงกับดัชนี Nifty 50 ในส่วนของเพดานค่าธรรมเนียมกองทุนต่อปีอาจจะถือว่าสูงเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน มีเกณฑ์การลงทุนขั้นต่ำไม่ถึงหลักพันคืออยู่ที่ 500 บาททั้งครั้งแรกและครั้งถัดไป
กองทุนอินเดียที่มีกองทุนหลักอย่าง Pinebridge India Equity Fund ซึ่งได้การันตี 5 ดาวจาก Morningstar เน้นการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom up โดยพิจารณาจากบริษัทที่มีพื้นฐานดีและสามารถเติบโตได้ในระยะยาว ใช้กลยุทธ์แบบ Active Management ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า Benchmark อย่างดัชนี MSCI India แต่ก็มีบางปีที่ทำผลประกอบการได้ต่ำกว่าดัชนีดังกล่าว เลือกลงทุนในกลุ่มธุรกิจอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศที่กำลังมีบทบาทสำคัญ อีกทั้งยังมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน
กองทุนอินเดียที่จ่ายปันผลหลายครั้งต่อปี เลือกลงทุนในกองทุนหลักถึง 2 กองเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้นมีทั้ง Nomura Funds Ireland - India Equity Fund และ iShares India 50 ETF ใช้กลยุทธ์การบริหารแบบ Active Management โดยมี Benchmark คือดัชนี Nifty 50 กลุ่มธุรกิจหลักที่เลือกลงทุนนั้นได้แก่ ธุรกิจการเงินและธนาคาร รวมไปถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ Benchmark แล้วยังมีความไม่สม่ำเสมอ มีความผันผวนในระดับปานกลาง
นักลงทุนมือใหม่หลายคนที่อยากจะลองลงกองทุนอินเดียแต่ยังมีข้อสงสัยและคำถามอยู่นั้น ในวันนี้ เราได้รวบรวมคำตอบเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันครับ
อินเดียนั้นมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลกเป็นรองเพียงแค่ประเทศจีนเท่านั้น อีกทั้งประเทศอินเดียก็ยังเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกด้วย ซึ่งประชากรในประเทศอินเดียโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นนั้นมีกำลังซื้อที่สูงขึ้น และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ และมีการเข้าไปในประเทศอินเดียเพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ
เนื่องจากว่าอินเดียเป็นตลาดการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และในช่วงที่ผ่านมาก็ทำผลตอบแทนได้น่าประทับใจแม้ว่าจะเป็นช่วงโควิดระบาดรุนแรงในอินเดียก็ตาม ทำให้กองทุนอินเดียนั้นมีความน่าสนใจในการลงทุนครับ เพียงแต่ว่าในอนาคตเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศแบบเต็มตัว อาจจะทำให้มีเม็ดเงินการลงทุนไหลออกจากอินเดียไปสู่ประเทศจีนได้ จึงควรเฝ้าดูและศึกษาข้อมูลอย่างใกล้ชิดครับ
ประเทศอินเดียจัดว่าเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจเนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวและสามารถขยายเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต แต่การลงทุนในตลาดประเภทนี้ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของการเติบโตที่เร็วจนเกินไปจนอาจจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกได้ ดังนั้นทั้งก่อนและหลังซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนอินเดียต่าง ๆ แล้ว การติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจอินเดียและเศรษฐกิจโลกจะช่วยให้คุณประเมินสถานการณ์และนำไปปรับใช้กับการตัดสินใจถือหน่วยลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
อันดับที่ 1: BBL Asset ManagementB|กองทุนอินเดีย กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ - B-BHARATA
อันดับที่ 2: King Wai Asset Management|กองทุนอินเดีย กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ อินเดีย อิควิตี้ เอฟไอเอฟชนิดจ่ายเงินปันผล - KWI INDIA-D
อันดับที่ 3: TISCO Asset Management|กองทุนอินเดีย กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย แอคทีฟ อิควิตี้ ชนิดสะสมผลตอบแทน - TISCOINA-A
อันดับที่ 4: TMBAM Eastspring|กองทุนอินเดีย กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity - TMBINDAE
อันดับที่ 5: Asset Plus Fund Management|กองทุนอินเดีย แอสเซทพลัส อินเดีย ไดนามิกส์ อิควิตี้ - ASP-INDIA
คลิกที่นี่สำหรับการจัดอันดับคำบรรยายสินค้าแต่ละรายการอ้างอิงจากเนื้อหาที่แสดงในเว็บไซต์ผู้ผลิต แบรนด์ และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
เครื่องดื่ม
วัสดุก่อสร้าง, เครื่องมือและอุปกรณ์ช่าง
สวนและอุปกรณ์ในสวน
ความงาม, ของใช้ส่วนตัว
โน้ตบุ๊ก, PC, อุปกรณ์ไอที
ของใช้ในบ้าน, อุปกรณ์ในบ้าน
เครื่องใช้ไฟฟ้า
กล้อง
เครื่องสำอาง, สกินแคร์
สุขภาพ
อาหาร
เครื่องใช้ในครัว
แฟชั่น
รองเท้า
นาฬิกา, เครื่องประดับ
แม่และเด็ก
เฟอร์นิเจอร์, อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน
งานอดิเรก
กิจกรรมกลางแจ้ง
DIY, เครื่องเขียน, อุปกรณ์สำนักงาน
กีฬา
สัตว์เลี้ยง
หนังสือ
เกม
รถยนต์, รถจักรยานยนต์, อุปกรณ์เสริม
ของขวัญ, ของฝาก
ท่องเที่ยว
สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, อุปกรณ์เสริม
เครือข่ายมือถือ
การลงทุน
เครดิตการ์ด, สินเชื่อ, ประกัน
ดนตรี, เครื่องเสียง
แอปพลิเคชัน, โปรแกรม
บริการ